'เศรษฐกิจโลก' ปัจจุบันไม่ได้แย่ อนาคตไม่ได้ดี

'เศรษฐกิจโลก' ปัจจุบันไม่ได้แย่ อนาคตไม่ได้ดี

"เศรษฐกิจโลก" ในปัจจุบันยังอยู่ในทิศทางที่อาจดูแย่ลง จากสถานการณ์โควิด-19 ที่พบผู้ติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าเศรษฐกิจโลกยังคงมีความหวังแนวนโยบายของโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ และความก้าวหน้าของวัคซีนโควิด

ปัจจุบันตัวเลขเศรษฐกิจส่วนใหญ่ยังดูแย่ลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศเจริญแล้ว ทั้งตัวเลขการจ้างงาน การบริโภค และภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่หดตัวเป็นครั้งแรกนับจากวิกฤติ ในยุโรปกิจกรรมทางเศรษฐกิจหดตัวในปลายปี และในญี่ปุ่นที่นักเศรษฐศาสตร์บางฝ่ายมองว่าอาจเห็นตัวเลขการจับจ่ายหดตัวถึงระดับ 2 หลักในไตรมาสนี้ จะมีก็แต่จีนที่ตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสสี่ที่ยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และยังเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่แห่งเดียวที่ยังเติบโตได้ในปีที่ผ่านมา

แน่นอนว่าสาเหตุหลักเป็นผลจากการปิดเมืองอีกครั้งหลังการระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 โดยจำนวนผู้ติดเชื้อยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนจะเข้าสู่ระดับ 100 ล้านคน และผู้เสียชีวิตเกินระดับ 2 ล้านคนอย่างรวดเร็ว ขณะที่ผู้ติดเชื้อใหม่ต่อวันยังอยู่ในระดับสูงและลดลงเพียงเล็กน้อยจากจุดสูงสุดก่อน ทำให้ทางการทุกที่ยังต้องปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจอีกครั้ง โดยประเทศในยุโรป เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี อังกฤษ หรือแม้แต่ญี่ปุ่นและสหรัฐ ต่างประกาศมาตรการฉุกเฉินและปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งสิ้น แม้ว่าระดับความรุนแรงจะแตกต่างกันก็ตาม

ส่วนในอนาคต นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ต่างมีความหวังที่ดีขึ้นจากสองปัจจัยหลัก คือ (1) แนวนโยบายของโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐท่านใหม่ และ (2) ความก้าวหน้าในการฉีดวัคซีน

ในประเด็นแรกนั้น หลังจากไบเดนได้เริ่มเผยแนวนโยบายใน 100 วันแรกที่รวมถึงการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่มูลค่าถึง 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ที่รวมถึงการแจกเงินให้กับชาวสหรัฐทุกคนรวม 2,000 ดอลลาร์ และเพิ่มเงินสวัสดิการว่างงานเป็น 400 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์ไปจนถึงเดือน ก.ย. และยังเสนอจะขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำรายชั่วโมงเป็น 15 ดอลลาร์จากประมาณ 8 ดอลลาร์ในปัจจุบัน ก็ยิ่งทำให้หลายฝ่ายคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเติบโตอย่างร้อนแรงในปีนี้

ในส่วนของวัคซีน หลังจาก AstraZeneca ที่วิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดได้รับการอนุมัติมากขึ้น ทั้งในอังกฤษ อินเดีย และประเทศอื่นๆ รวมถึงกำลังจะได้รับการอนุมัติในสหรัฐ ทำให้มีการเร่งฉีดและแจกจ่ายต่อเนื่อง ทำให้ประเทศเจริญแล้วและกำลังพัฒนาหลายประเทศ ตั้งเป้าจะฉีดประชากรของตนให้ได้มากที่สุด โดยในยุโรปตั้งเป้าจะฉีดให้ได้ 70% ของประชากรทั้งหมดภายในกลางปีนี้

ด้วยปัจจัยสำคัญทั้งสอง ทำให้หลายฝ่ายมองภาพเศรษฐกิจโลกในปีนี้ด้วยความหวังว่าเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังจะฟื้นขึ้นอย่างรุนแรง เนื่องจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมหาศาลของไบเดน ทั้งการแจกเงิน การเพิ่มสวัสดิการให้ผู้ด้อยโอกาส และการเร่งโครงการโครงสร้างพื้นฐาน สอดผสานกับความเชื่อมั่นของประชาชนที่จะเพิ่มขึ้นหลังจากที่ได้รับวัคซีนแล้ว จะทำให้ความต้องการสินค้า บริการ ท่องเที่ยว เดินทางเพิ่มขึ้น และทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกทะยานขึ้นอีกครั้ง

แต่ผู้เขียนเห็นต่าง โดยเห็นว่าในโลกปัจจุบันเศรษฐกิจไม่ได้แย่มากนัก หากพิจารณาจากตัวเลขเศรษฐกิจเร็วต่างๆ เช่น Google mobility ตัวเลขการทำธุรกรรมออนไลน์ รวมถึงตัวเลขจีดีพีรายสัปดาห์ที่คำนวณโดย OECD พบว่าในปัจจุบันลดลงเป็นระดับประมาณครึ่งหนึ่งหรือน้อยกว่าเมื่อเทียบการปิดเมืองในช่วงเดือน เม.ย.ปีก่อน ทั้งในยุโรป สหรัฐ หรือแม้แต่ในไทยเอง แม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อต่อวันจะมากกว่าในการระบาดครั้งแรก 2-3 เท่าก็ตาม

สาเหตุที่การระบาดรอบนี้ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจแย่มากนักเป็นเพราะเหตุผล 3 ประการ คือ (1) ประชาชนเริ่มลดความกังวลลง เนื่องจากทราบว่าจะป้องกันการระบาดได้อย่างไร จึงรู้จักระมัดระวังตัวมากขึ้น แต่ยังสามารถออกไปทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจบ้าง

(2) นโยบายของภาครัฐในการชั่งน้ำหนักระหว่างการป้องกันการระบาดและผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเลือกที่จะปิดกิจกรรมเศรษฐกิจเท่าที่จำเป็น และมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างทันท่วงที ทำให้สามารถบรรเทาผลกระทบได้ดีระดับหนึ่ง

(3) แนวนโยบายของภาคเอกชนในการปรับตัว โดยเอกชนหันไปใช้การทำงานออนไลน์มากขึ้น ทั้งการประชุม สัมมนา รวมถึงการทำงานโดยใช้ระบบ Crowd computing

แต่แม้เศรษฐกิจภาพใหญ่จะไม่ได้แย่มาก แต่ในภาคธุรกิจแต่ละกลุ่มได้รับผลกระทบไม่เท่ากัน โดยกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการคมนาคม ท่องเที่ยว อสังหาฯ รวมถึงค้าส่งค้าปลีกในพื้นที่ที่มีการระบาดสูงจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ซึ่งจะกระทบต่อแรงงานในภาคธุรกิจและพื้นที่ดังกล่าว

แม้เศรษฐกิจปัจจุบันไม่แย่มากนัก แต่เศรษฐกิจในอนาคตก็จะไม่ดีมากนัก จาก 3 ปัจจัยด้วยกัน คือ 1.ในซีกโลกตะวันตกนั้น หลายฝ่ายให้ความหวังกับนโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจสูงเกินไป

หลักฐานเชิงประจักษ์บ่งชี้ว่านโยบายการคลังแบบแจกเงินจะได้ผลดีหากเศรษฐกิจแย่จริงๆ แต่หากเศรษฐกิจไม่ได้แย่มากแล้ว การแจกเงินอย่างมหาศาลไม่ได้ทำให้ผู้คนอยากที่จะจับจ่ายมากนัก แต่มักจะเลือกที่เก็บเงินหรือจ่ายคืนหนี้เก่ามากกว่า (ศัพท์เศรษฐศาสตร์เรียกว่า Ricardian Equivalence) ดังนั้น การแจกเงินอย่างมหาศาลในกรณีรัฐบาลไบเดน (หากสามารถทำได้) ไม่น่าจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นกว่าเดิมอย่างมีนัยสำคัญ

ส่วนมาตรการกระตุ้นการคลังของสหภาพยุโรป 7.5 แสนล้านยูโรนั้น ก็ไม่น่าจะมีการเบิกจ่ายได้เร็วมากนัก เพราะยังต้องผ่านความเห็นชอบของสภาในแต่ละประเทศ

2.ในฝั่งของจีน แม้ว่าเศรษฐกิจในปีที่แล้วยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่อง แต่การที่จีนยังคงเป็นระบบสังคมนิยมที่พึ่งพารัฐวิสาหกิจในระดับสูง ทำให้ประสิทธิภาพของการเติบโตเศรษฐกิจจะอยู่ในระดับต่ำ (เห็นได้จากสัดส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ หรือ ROA ของรัฐวิสาหกิจจีนที่ 3.5% ต่ำกว่าบริษัทโดยรวมที่ 5.2%) และหากจีนไม่สามารถปฏิรูปเศรษฐกิจและลดการพึ่งพิงรัฐวิสาหกิจให้ได้ ก็จะฉุดรั้งการเติบโตเศรษฐกิจในระยะต่อไป

และ 3.ในฝั่งของยุโรปและญี่ปุ่น ยังเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งจากสังคมสูงวัยและหนี้สาธารณะที่ยังสูง ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะต่อไป

นอกจากนั้นยังมีความเสี่ยงอื่นๆ ทั้งจากเชื้อโคโรนาไวรัสที่สามารถกลายพันธุ์ได้ง่ายขึ้น และอาจดื้อต่อวัคซีนได้ในอนาคต รวมถึงความเชื่อมั่นของประชาชนและภาคธุรกิจต่อเศรษฐกิจว่าจะกลับมาหรือไม่ หากมีการฉีดวัคซีนมากขึ้น ท่ามกลางหนี้ครัวเรือนและหนี้ภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่ ขณะที่ความเสี่ยงดอกเบี้ยระยะยาวที่อาจเริ่มปรับเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป ซึ่งจะกระทบความสามารถในการชำระหนี้ของประชาชนและภาคธุรกิจ ประเด็นเหล่านี้ที่จะกดดันทำให้เศรษฐกิจโลกไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้มาก

โลกปัจจุบันไม่ได้แย่ โลกอนาคตไม่ได้ดี ท่านทั้งหลายปรับความคาดหวังแล้วหรือยัง