ปี 2563 ค้าปลีกติดลบ 12% หนักสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่แนวโน้มปี 2564 ยังคงติดลบต่อเนื่อง กระทุ้งรัฐเร่งอัดยาแรง-หนุนวัคซีนฟื้นธุรกิจ เสนอมาตรการเร่งด่วน ลดอัตราว่างงาน-เพิ่มจ้างงานใหม่ ซอฟท์โลนผ่านแพลตฟอร์มรีเทล ต่อลมหายใจเอสเอ็มอี 4 แสนราย
อุตสาหกรรมค้าปลีกมูลค่า 4 ล้านล้านบาท ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจาก “วิกฤติโควิด” โดยบรรดาห้างร้านค้าปลีก ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ เผชิญภาวะล็อกดาวน์เกือบ 2 เดือนในช่วงพีคของการระบาดรอบแรก เดือน มี.ค.-เม.ย.ปีที่ผ่านมา ซัพพลายเชนค้าปลีกซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้คนและกิจกรรมทางธุรกิจต่างๆ จำนวนมากต้องหยุดชะงัก จากสภาพตลาดและกำลังซื้อที่ซบเซาอยู่แล้ว จึงชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง
นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่นี้ ประเมินว่าไตรมาสแรก ปี 2564 ดัชนีค้าปลีก จะยังคงติดลบราว 7-8% ขณะที่ปี 2563 อุตสาหกรรมค้าปลีก ติดลบสูงถึง 12% คิดเป็นมูลค่าเม็ดเงินที่หายไปกว่า 5 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ ธุรกิจค้าปลีกไทยถือเป็นฐานรากสำคัญของระบบเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากเป็นระบบที่ครอบคลุมตั้งแต่ ต้นน้ำ กลางน้ำ และ ปลายน้ำ ซึ่งมีผู้ประกอบการในห่วงโซ่ค้าปลีกรวมทั้งหมดในระบบ 1.3 ล้านราย มีการสร้างงานโดยตรงกว่า 6.2 ล้านราย
"เมื่อค้าปลีกถูกผลกระทบทำให้ดัชนีค้าปลีกสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ปี 2563 ลดลงจากปี 2562 จาก 2.8% มาเป็นติดลบ 12% เป็นครั้งแรกที่ติดลบถึงสองหลัก ทำให้เกิดผลเสียหายในวงกว้าง เกิดอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น รายได้ลดลง หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น เอสเอ็มอีทยอยปิดตัวลง กำลังซื้อหดหาย จำเป็นต้องเร่งเยียวยาในระบบค้าปลีกโดยเร็วที่สุด"
สมาคมฯ ต้องการให้ภาครัฐวางมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและเร่งด่วน เพื่อลดอัตราการว่างงาน และเพิ่มอัตราการจ้างงานใหม่ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยมาตรการต่างๆ ควรมุ่งเน้นให้เกิดขึ้นได้จริง ต่อเนื่อง และทันที
แนะ5มาตรการเร่งด่วนฟื้นธุรกิจ
สำหรับ 5 มาตรการ หรือ เปรีบบเสมือนวัคซีนช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยนั้น ประกอบด้วย มาตรการแรก ภาครัฐดำเนินการทดลองเพิ่มทางเลือกสำหรับอัตราค่าจ้างแบบเป็นรายชั่วโมง เพื่อเป็นการลดอัตราการว่างงาน และเพิ่มการจ้างงานใหม่ในภาคค้าปลีกสินค้าและค้าปลีกบริการ โดยการจ้างงานประจำจะยังคงมีอยู่เหมือนเดิม แต่เพิ่มอัตราการจ้างงานแบบเป็นรายชั่วโมง เพื่อเป็นทางเลือกและสอดรับการให้บริการช่วงพีคของวันในแต่ละช่วงให้เกิดประสิทธิภาพการบริการลูกค้าสูงสุด ทั้งนี้ภาคค้าปลีกสินค้าและค้าปลีกบริการคาดว่าจะสามารถจ้างงานรายชั่วโมงได้ทันทีไม่น้อยกว่า 52,000 อัตรา และเพิ่มได้ถึง 2 แสนอัตราในระยะยาว
มาตรการที่สอง ช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อย หรือเอสเอ็มอี โดยให้มีการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) ผ่านแพลตฟอร์มค้าปลีก โดบรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกันออกมาตรการเพื่อเพิ่มสภาพคล่องแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและเกษตรกร ทำให้เข้าถึงสินเชื่อที่มีดอกเบี้ยอัตราพิเศษ
“สมาคมฯ ขอเสนอให้ภาครัฐพิจารณาการให้สินเชื่อพิเศษนี้โดยผ่านแพลตฟอร์มค้าปลีก ซึ่งสามารถเข้าถึงเอสเอ็มอี เกษตรกร ผู้ประกอบการรายย่อยกว่า 4 แสนรายได้โดยตรงและอย่างรวดเร็วและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยแพลตฟอร์มค้าปลีกนี้ ธนาคารจะได้รับการชำระหนี้อย่างตรงเวลาและครบถ้วน เป็นการลดภาระหนี้สูญของธนาคารอีกด้วย”
คุมขายต่ำกว่าทุนอีคอมเมิร์ซ
มาตรการที่สาม ภาครัฐต้องเร่งพิจารณาเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีนำเข้ากับสินค้าที่ซื้อขายผ่านอีคอมเมิร์ซ อีมาร์เก็ตเพลส ที่นำเข้าจากต่างประเทศ จากข้อมูล ETDA พบว่าธุรกิจอีคอมเมิร์ซมีมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท ถือว่าเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่มีมาตรการควบคุมที่ชัดเจน มีการขายสินค้าในราคาที่ต่ำกว่าทุน แต่ไม่มีมาตรการเรื่องการเก็บภาษีนำเข้า และภาษีมูลค่าเพิ่มตั้งแต่บาทแรก ทำให้เอสเอ็มอีไทยไม่สามารถแข่งขันได้
“ขณะที่เอสเอ็มอีไทยมีการเสียภาษีนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มเต็มจำนวนตั้งแต่บาทแรก ถือว่าเป็นการแข่งขันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม (Unfair Trade) และจะสร้างความเสียหายให้กับระบบค้าปลีกไทยในระยะยาว”
กระตุ้นกำลังซื้อกลางสูง8ล้านราย
มาตรการที่สี่ ภาครัฐต้องหามาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ โดยมุ่งไปยังกลุ่มที่มีกำลังซื้อระดับกลางถึงสูงกว่า 8 ล้านราย เพื่อผันเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย ด้วยมาตรการ ลดภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์ ทั้งนี้จากวิกฤตการณ์โควิด-19 ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทำให้ไม่สามารถเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศได้ กลุ่มคนที่มีกำลังซื้อเหล่านี้ ซึ่งคุ้นเคยกับการเดินทางไปต่างประเทศ และช้อปปิ้งสินค้าปลอดภาษี ยังมีความต้องการที่จะซื้อสินค้าแบรนด์ต่างๆ ทำให้ต้องหาซื้อสินค้าผ่านทาง Cross Borders หรือ Grey Market โดยทางสมาคมฯ เสนอให้กระตุ้นการบริโภคในกลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูงนี้ โดยเฉพาะสินค้าไลฟ์สไตล์นำเข้า ซึ่งปัจจุบันอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไลฟ์สไตล์ในไทยสูงถึง 30% ซึ่งสูงที่สุดใน 15 ประเทศในแถบเอเชีย ทำให้คนหันไปซื้อสินค้าที่ต่างประเทศแทน จึงเสนอให้ทดลองปรับลดภาษีนำเข้าชั่วคราวตามประเภทสินค้า เป็นแบบขั้นบันได เช่น ลดจากเดิม 30% เป็น 20% 15% และ 10% เพื่อให้มีส่วนต่างของอัตราภาษีและไม่เกิดผลกระทบกับแบรนด์ไทย ซึ่งจะสามารถสร้างเงินสะพัดได้กว่า 20,000 ล้านบาท ต่อไตรมาส
ชงร่วมบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
มาตรการสุดท้าย ภาครัฐควรพิจารณาอนุญาตให้ร้านค้าปลีกสมัยใหม่และซูเปอร์มาร์เก็ตเข้าร่วมโครงการ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าถึงสินค้าที่หลากหลาย และราคาต่ำได้มากขึ้น
จากงานวิจัย พบว่า สินค้าที่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐซื้อหาเป็นประจำส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภคไม่กี่ชนิด อาทิ ข้าวสาร น้ำมันพืช น้ำตาล ซึ่งผลิตโดยผู้ผลิตสินค้ารายใหญ่เพียงไม่กี่ราย ทำให้การกระจายรายได้ไปไม่ถึงผู้ผลิตสินค้ารายเล็กอื่นๆ การเปิดให้ร้านค้าปลีกสมัยใหม่และซูเปอร์มาร์เก็ตเข้าร่วมโครงการ นอกจากจะช่วยเหลือประชาชนผู้ใช้บัตรแล้ว ยังเป็นการกระจายรายได้สู่ผู้ผลิตสินค้าในวงกว้างมากขึ้น ทั้งเกษตรกร ชุมชน และ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี