ต่างชาติ-กองทุนถล่มขายหุ้น ลดความเสี่ยงโควิด-คดีนายกฯฉุดเศรษฐกิจ

ต่างชาติ-กองทุนถล่มขายหุ้น ลดความเสี่ยงโควิด-คดีนายกฯฉุดเศรษฐกิจ

“หุ้นไทย“ดิ่งเฉียด 30 จุด เหตุ นักลงทุนต่างชาติ- กองทุนในประเทศ พร้อมใจขายรวม 7.3 พันล้าน”เอเซีย พลัส” ชี้ นักลงทุนลดความเสี่ยงหลังมีผู้ติดโควิดในประเทศเพิ่ม -ศาลรัฐธรรมนูญเตรียมพิจารณาคดีนายกรัฐมนตรีวันที่ 2 ธ.ค.นี้ ที่ส่งผลกระทบเศรษฐกิจ

ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (30พ.ย.) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องซึ่งปิดตลาดที่ระดับต่ำสุดของวันที่ 1,408.31จุด ลดลง 29.47 จุดหรือ 2.05% มูลค่าการซื้อขาย 120,486.50 ล้านบาท จากหลายปัจจัยลบกดดัน ทั้ง MSCI ปรับลดน้ำหนักหุ้นไทย กังวลมีผู้ติดเชื้อโควิด-19ในประเทศเพิ่ม รวมถึงกังวลศาลรัฐธรรมนูญจะมีการติดสินคดีนายกรัฐมนตรี

ด้านนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 4,372.45 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 2,981.96 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 725.71 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปในประเทศซื้อสุทธิ6,628.70 ล้านบาท

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนกังวลหลังพบมีผู้ติดเชื้อโควิด-19ในประเทศเพิ่มขึ้น ที่เชียงใหม่และเชียงราย และมีปัจจัยความไม่แน่นอนในวันที่ 2 ธ.ค.2563 ศาลรัฐธรรมนูญมีวินิจฉัยคดีบ้านพักทหารของนายกรัฐมนตรีว่าผิดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่  โดยหากผิดจะส่งผลให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจไทย เรื่องความต่อเนื่องในการดำเนินนโยบาย เพราะ ปัจจุบันเศรษฐกิจถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มฟื้นตัว ซึ่งหากมาตรการสะดุดไม่ต่อเนื่อง จะทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาฟื้นตัวยาก
รวมถึงปัจจัยที่ MSCI Rebalance  ซึ่งมีผลบังคับโดยใช้ราคาปิดวานนี้   ซึ่งMSCI ปรับลดน้ำหนักตลาดหุ้นไทยลง จึงทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยพักฐานระยะสั้น  ซึ่งส่วนตัวถือว่าการปรับตัวลดลงมาครั้งนี้ไม่มาก เพราะเดือนพ.ย. ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง
“ดัชนีหุ้นไทยร่วงนั้นส่วนตัวให้น้ำหนัก เรื่องมีผู้ติด   โควิด-19ในประเทศเพิ่มและการที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาคดีของนายก ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้       นักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นออกมา เพื่อลดความเสี่ยงก่อน ทำให้หุ้นไทยพักฐานระยะสั้น”

สำหรับแนวโน้มหุ้นไทยในระยะกลางและระยะยาว ยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น เนื่องจากเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติยังคงไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเอเชียต่อเนื่อง ซึ่งตลาดหุ้นไทยจะได้รับอานิสงส์ เพราะ ตั้งแต่กลางปี 2559 ต่างชาติขายหุ้นไทยสูงถึง 9 แสนล้านบาท ซึ่งปัจจุบันเพิ่มซื้อกลับเพียงกว่า 3 หมื่นล้านบาท  ประกอบกับเม็ดเงินสภาพคล่องในประเทศไทยที่สูง จากที่มีเงินฝากในระบบถึง 15.5 ล้านล้านบาท ซึ่งหากไม่มีปัจจัยลบเข้ามากดดันเม็ดเงินดังกล่าวพร้อมไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจากดอกเบี้ยเงินฝากที่อยู่ในระดับต่ำ โดยบริษัทประเมินดัชนีหุ้นไทยปีหน้ามีโอกาสทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,550 จุด 

ดังนั้นในช่วงที่ดัชนีพักฐานมองเป็นจังหวะในการทยอยสมหุ้นที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีหน้า และปัจจุบันราคาหุ้นยังไม่สูง เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ กลุ่มรับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้างเพราะ คาดว่าภาครัฐจะเดินหน้าลงทุนโครงการต่างๆ

นายกิติชาญศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี กล่าวว่าหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลงมาจากหลายปัจจัย ทั้ง MSCI ลดน้ำหนักหุ้นไทยจาก 1.9% เหลือ 1.87% มีผู้ติดเชื้อ   โควิด-19ในประเทศเพิ่ม สหรัฐจะมีการแบนบริษัทจีนเพิ่มอีก 4 บริษัท และในเดือนพ.ย.ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น 243 จุุดหรือเพิ่มขึ้น 20%จึงทำให้มีการขายทำกำไรออกมาของนักลงทุนไทยและนักลงทุนต่างชาติ ออกมาในระยะสั้น 

อย่างไรก็ตามแม้ต่างชาติขายหุ้นไทยแต่ก็ยังไม่นำเงินออกนอกประเทศ เพราะ ดอลลาร์ยังคงอ่อนค่า ประกอบกับการมีวัคซีนซึ่งจะหนุน ให้เศรษฐกิจไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นปีหน้า และกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังคงเติบโต  ทำให้ฟันด์โฟลว์ยังคงไหลเข้า โดยหุ้นแนะนำ กลุ่มปิโตรเคมี  โรงกลั่น พลังงาน และธนาคารพาณิชย์