เปิดไทม์ไลน์ 2 สาวโควิดเชียงราย

เปิดไทม์ไลน์ 2 สาวโควิดเชียงราย

เปิดไทม์ไลน์ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด 2 ราย เดินทางเข้าพักในโรงแรมอำเภอแม่สาย ใช้บริการรถจักรยานยนต์รับจ้าง ร้านอาหาร และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล เบื้องต้นมีกลุ่มเสี่ยงสูง 4 ราย เสี่ยงต่ำ 22 ราย

เมื่อวันที่ 30 พ.ย.2563 นพ.ทศเทพ บุญทอง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย เปิดเผยในการแถลงข่าวความคืบหน้ากรณีผู้ลักลอบเดินทางเข้ามาจากประเทศเมียนมา ที่มาพร้อมกับหญิงสาวที่ติดเชื้อไว้รัสโควิด-19 ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยที่จังหวัดเชียงราย พบว่า หญิงสาวอายุ 29 ปี ชาว อ.ขุนตาล จ.เชียงราย และหญิงสาว 23 ปี ชาว จ.พะเยา ที่ได้ลักลอบข้ามพรมแดนฝั่งท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ข้ามมาฝั่ง อ.แม่สาย จ.เชียงราย มาพร้อมกับหญิงสาวที่ติดเชื้อที่ จ.เชียงใหม่ พบว่าทั้ง 2 คนมีผลตรวจติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยทั้ง 2 คนได้เดินทางข้ามพรมแดนไทยเมียนมาตามช่องทางธรรมชาติ เมื่อวันที่ 26-27 พ.ย. 63 โดยหญิงสาวอายุ 26 ปีเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในอำเภอแม่สาย จ.เชียงราย และเมื่อทราบข่าวของหญิงสาววัย 29 ปีที่เดินทางมาด้วยกัน ไปเชียงใหม่และตรวจพบเชื้อโควิด จึงมีความกังวัลและเข้าตรวจเชื้อโควิดที่โรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดเชียงราย และยืนยันว่าพบเชื้อเมื่อเวลา 03.00 น.วันที่ 28 พ.ย. 63 หลังจากนั้น ในวันที่ 29 พ.ย. 63 ได้ติดตามตัวหญิงสาววัย 23 ปีจนเจอ และทำการตรวจเชื้อ ผลออกมาพบเชื้อโควิดในเวลา 24.00 น. โดยทั้งคู่อาการไม่น่าเป็นห่วง

หากดูไทม์ไลน์ของทั้งคู่พบว่า ในช่วงต้นเดือน พ.ย.63 ได้ทำงานในสถานบันเทิงแห่งหนึ่งใน จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ต่อมาเมื่อวันที่ 27 พ.ย. 63 ช่วงเช้าเดินทางกลับประเทศไทย ผ่านช่องทางธรรมชาติ พร้อมกับเพื่อนชาวไทย 1 คน โดยมีผู้นำทางชาวเมียนมาซึ่งได้เดินทางกลับเมียนมาไปแล้ว โดยทั้ง 2 คนได้เดินทางจากหมู่บ้านผาแตก โดยรถจักรยานยนต์รับจ้าง แล้วแวะซื้ออาหารและน้ำที่ร้านหน้าวัดแห่งหนึ่งแล้วเข้าพักที่โรงแรม ใน อ.แม่สาย โดยสวมหน้ากากตลอดเวลา จากนั้นได้เข้าพักที่โรงแรมโดยแยกห้องพักกับเพื่อน ช่วงกลางคืนได้ออกไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อ ในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง โดยยืมรถของพนักงานโรงแรมไป

ต่อมาวันที่ 28 พ.ย.63 พักอยู่ที่โรงแรมไม่ออกไป โดยสั่งอาหารทางออนไลน์ และวันที่ 29 พ.ย. 63 เริ่มมีอาการปวดศรีษะ ปวดตามตัว มีน้ำมูก เข้าพบแพทย์ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ เชียงราย ก่อนส่งตัวไปที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ และพบผลเป็นบวก

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีกลุ่มเสี่ยงสูงประมาณ 4 ราย และกลุ่มเสี่ยงต่ำ 22 ราย โดยจะเป็นกลุ่มที่มีการสัมผัสผู้ป่วย เช่น คนขับรถจักรยานยนต์, พนักงานขับรถ, ร้านอาหาร และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล