สศค.ลุ้น”ส่งออก-มาตรการรัฐ”ดึงจีดีพีติดลบลดลง

สศค.ลุ้น”ส่งออก-มาตรการรัฐ”ดึงจีดีพีติดลบลดลง

สศค.เผยสัญญาณเศรษฐกิจไทยในเดือนต.ค.ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า แต่ทิศทางยังดี สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจดีขึ้น ลุ้นการส่งออกและมาตรการรัฐทั้งคนละครึ่งและเราเที่ยวด้วยกันจะช่วยพยุงเศรษฐกิจทั้งปีให้ขยายตัวติดลบน้อยลง

นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลังแถลงภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนต.ค.ว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนดังกล่าวมีสัญญาณทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า แต่ยังคงอยู่ในทิศทางของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในภาพรวม ขณะที่ ดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจต่างๆปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง จากมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงปลายปี

อย่างไรก็ดี สศค.ประเมินว่า จากมาตรการของรัฐบาลที่ยังคงดำเนินการอยู่ทั้งในเรื่องของมาตรการคนละครึ่ง และเราเที่ยวด้วยกัน รวมถึง การส่งออกที่คาดว่า จะดีขึ้น เชื่อว่า จะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปีดีขึ้น และทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้ติดลบน้อยลง ทั้งนี้ ณ เดือนต.ค.สศค.ประมาณการการจีดีพีในปีนี้ขยายตัวติดลบ 7.7%

ทั้งนี้ สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชนมีสัญญาณชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า โดยการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับราคาคงที่ลดลง-9.4%ต่อปีส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมูลค่าการนำเข้าสินค้าที่ชะลอตัวและปัจจัยฐานสูงจากช่วงเดียวกันปีก่อน​ ขณะที่ การบริโภคในหมวดสินค้าคงทนสะท้อนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์นั่งและปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ลดลง -25.9%และ -11.0%ต่อปี ตามลำดับ

อย่างไรก็ดี ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 50.9 โดยมีปัจจัยบวก ได้แก่ 1.ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศปรับตัวลดลง 2.รัฐบาลมีมาตรการเยียวยาผลกระทบของโรคติดเชื้อโควิด-19 รวมถึง การออกมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงปลายปี โดยเฉพาะโครงการเราเที่ยวด้วยกัน คนละครึ่ง และช้อปดีมีคืน เป็นต้น และ 3.ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น ทำให้เกษตรกรเริ่มมีรายได้มากขึ้น โดยรายได้เกษตกรที่แท้จริงในเดือนต.ค.ขยายตัว12.6%ต่อปี

เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนส่งสัญญาณทรงตัวจากเดือนก่อนหน้าโดยการลงทุนภาคเอกชนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรสะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ขยายตัว10.4%ต่อปี ซึ่งเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2ติดต่อกัน และขยายตัว 2.8% จากเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล

ในขณะที่ปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนลดลง​-17.0%ต่อปี ส่วนการลงทุนในหมวดการก่อสร้าง สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ลดลง -9.1%ต่อปี ในขณะที่​ การจัดเก็บภาษีการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ขยายตัว
0.7%จากเดือนก่อนหน้าหลังขจัดผลทางฤดูกาล
และหดตัวชะลอลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่-3.2% ต่อปี

เศรษฐกิจภาคการค้าระหว่างประเทศชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า
สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯชะลอตัว-6.7%
ต่อปี จากการลดลงของการส่งออกสินค้าในหมวดสำคัญ อาทิ หมวดสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน รวมถึง หมวดรถยนต์​ อุปกรณ์และส่วนประกอบ

อย่างไรก็ดี สินค้าที่ยังขยายตัวได้ดี ได้แก่ 1.สินค้าอาหาร​ เช่น น้ำมันปาล์ม และอาหารสัตว์เลี้ยงที่ขยายตัว183.0%และ 17.4% ต่อปี ตามลำดับ สอดคล้องกับการส่งออกเครื่องปรุงรส และผัก ผลไม้สดแช่แข็งกระป๋องและแปรรูปที่ขยายตัวต่อเนื่อง

2.สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ส่วนประกอบ และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน อาทิ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เป็นต้น และ 3.สินค้าที่เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น ถุงมือยาง ที่ขยายตัวต่อเนื่องนับตั้งแต่มีการแพร่ระบาด

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณามูลค่าการส่งออกสินค้า โดยจำแนกเป็นรายตลาดคู่ค้าหลักของไทย พบว่า การส่งออกไปอาเซียน 9 ประเทศชะลอตัว -23.1% ต่อปี เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในรอบที่ 2 อย่างไรก็ดี การส่งออกไปสหรัฐฯ และทวีปออสเตรเลีย ยังขยายตัวต่อเนื่องที่ 17.0% และ 4.2% ต่อปี ตามลำดับ

ด้านเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทานปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า
สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่6ติดต่อกันมาอยู่ที่ระดับ 86.0
โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์ในประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าคงทน​ ส่งผลให้ภาคการผลิตมีการฟื้นตัวตามอุปสงค์ในประเทศ
ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐผ่านการท่องเที่ยวและการบริโภคสนับสนุนให้เกิดการใช้จ่ายในประเทศเพิ่มขึ้น
ส่งผลดีต่อยอดขายสินค้าและรายได้ของผู้ประกอบการ

สำหรับภาคเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรลดลงเล็กน้อยที่ -0.2%ต่อปี จากการลดลงของผลผลิตยางพารา ลองกอง สับปะรดและกุ้งขาวแวนนาไม เป็นต้น

สำหรับบริการด้านการท่องเที่ยว พบว่า ในเดือนตุลาคม 2563 มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติประเภทพิเศษ (Special Tourist Visa)กลุ่มแรกได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศ จำนวน 1,201 คน โดยส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน กัมพูชา เเละประเทศอื่นๆ ในอาเซียน นอกจากนี้บางส่วนเป็นนักท่องเที่ยวชาวตะวันออกกลาง เเละชาวยุโรป เป็นต้น

เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดีสะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ -0.5%ต่อปี และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.2%
ต่อปี ขณะที่ สัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563อยู่ที่ 49.4% ต่อจีดีพี​ ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. 2561ส่วนเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคงและสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ​ ณ สิ้นเดือนต.ค. 2563 อยู่ในระดับสูงที่248.5พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ