ศึกชิงเก้าอี้ 'ประธานาธิบดีสหรัฐ' กระทบ 'หุ้นไทย' มากแค่ไหน?

ศึกชิงเก้าอี้ 'ประธานาธิบดีสหรัฐ' กระทบ 'หุ้นไทย' มากแค่ไหน?

เปิดบทวิเคราะห์ศึกชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐ ระหว่างโจ ไบเดน และโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะมีการเลือกตั้งต้นเดือนพฤศจิกายน 2563 จะส่งผลต่อ "หุ้นไทย" อย่างไรบ้าง? และหุ้นไหนน่าสนใจบ้าง?

อีกไม่ถึง 2 อาทิตย์ ก็จะถึงวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ในวันที่ 3 พฤศจิกายน 63 โดยคู่ชิงที่น่าจับตามองคงไม่พ้นโจ ไบเดน ตัวแทนจากพรรคเดโมแครตและ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนปัจจุบัน ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน

โดยผลการสำรวจของเรียลเคลียร์โพลิติกส์ ไบเดนนำทรัมป์เฉลี่ย 2.3% มหาวิทยาลัยควินนิเพกสำรวจความคิดเห็นผู้ที่ตั้งใจไปใช้สิทธิ ให้ไบเดนนำทรัมป์ที่ 51% ต่อ 43% ในรัฐเพนซิลเวเนีย ที่ทรัมป์เคยชนะไปไม่มากเมื่อปี 2559

แต่ในวันนี้ ทางฝ่ายวิเคราะห์เอเอสแอล จะพูดถึงนโยบายหาเสียงของทั้งโจ ไบเดน และโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าจะส่งผลกระทบอย่างไรต่อตลาดหุ้นไทยมากน้อยแค่ไหน

สำหรับฝ่ายวิเคราะห์ เอเอสแอล เชื่อว่า ศึกชิงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งนี้ ฝ่ายโจ ไบเดน น่าจะเป็นผู้กำชัยไปได้โดย นโยบายหลักๆ ประกอบไปด้วย

1.ด้านการป้องกันโควิด-19 

ไบเดนจะมีมาตรการเยียวยาทางเศรษฐกิจทั้งในภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน รวมถึงจะมีการจ่าย Sock leave และ Care-giving leave ให้แก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19

ขณะที่ทางทรัมป์จะเน้นช่วยเหลือภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมบางประเภท เช่นอุตสาหกรรมยา ธนาคาร ท่องเที่ยว

ความเห็นของเรา มองว่ามาตรการของทั้งคู่ จะช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุนทั่วโลก

2.มาตรการทางภาษี

ไบเดนการเพิ่มภาษี Individual tax สำหรับผู้ที่มีรายได้สูงกว่า 4 แสนล้านเหรียญ สรอ. ต่อปี โดยคาดว่าจะเพิ่มจาก 37% สู่ระดับเกือบ 40% และจะขึ้นภาษี Corporate tax จากเดิม 21% สู่ระดับ 28%

ขณะที่ทางทรัมป์ จะยังคงอัตราภาษี Individual tax และ Corporate tax ที่ระดับ 37% และ 21% ตามเดิม

ความเห็นของเรา หากไบเดนชนะและได้ทำตามนโยบายการขึ้นภาษีนี้จริง จะเป็นบวกต่อ SET โดยมาตรการนี้จะกดดันผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน มีโอกาสให้ fund flow ไหลออกจากสหรัฐมาสู่ตลาด Emerging market ซึ่งคาดว่าดัชนี SET จะได้รับประโยชน์ไปด้วย

3. เทคโนโลยีและสภาพอากาศ

ไบเดนจะเน้นนโยบายลดการผูกขาดของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ และจะมีแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานฉบับใหม่ โดยจะให้ความสำคัญกับปัญหาภาวะโลกร้อนมากขึ้น

ขณะที่ทรัมป์ก็มีการออกแบบแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานฉบับใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน แต่คำนึงถึงภาวะโลกร้อนน้อยกว่าไบเดน

ความเห็นของเรา มองว่าหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสหรัฐเช่น Google, Facebook หรือ Apple มีความเสี่ยงที่จะถูกควบคุมการผูกขาดจากภาครัฐหากไบเดนชนะการเลือกตั้ง

4. การบริการได้สาธารณสุข

ไบเดนจะนำ Affordable Care Act (ACA) กลับมาใช้ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงในด้านบริการทางการแพทย์ของชาวสหรัฐ แต่ของทรัมป์ยังไม่มีนโยบายที่เกี่ยวข้องโดยตรงในหัวข้อนี้

ความเห็นของเรามองว่า หากไบเดนชนะ และนำนโยบายการกำหนดราคายามาใช้จะกดดันต่อหุ้นในกลุ่ม Health care

5.การค้า

ไบเดนมีมุมมองต่อการค้ากับจีนคล้ายกับ ทรัมป์ในปัจจุบัน แต่เราเชื่อว่าการตอบโต้จีนของไบเดนจะมีความแข็งกร้าวที่น้อยกว่า และจะเน้นการเจรจากันเป็นหลัก โดยจะมีความร่วมมือกับประเทศในเอเชียมากขึ้นเพื่อคานอำนาจกับจีน ผ่านความร่วมมือ TPP โดยเฉพาะกับเวียดนามและญี่ปุ่น

ส่วนทรัมป์ยังคงเผชิญหน้ากับจีนอย่างแข็งกร้าวอยู่ต่อเนื่อง โดยจะมีการแบนบริษัทเทคโนโลยีของจีนเน้นการทำ AI และ 5G รวมถึงเดินหน้าเก็บภาษีนำเข้าจาก EU

ความเห็นของฝ่ายวิเคราะห์ เอเอสแอล มองว่า หากไบเดนชนะการเลือกตั้ง จะช่วยลดความไม่แน่นอนของความเสี่ยงสงครามการค้าได้มากขึ้น แล้วนโยบายของไบเดนเกี่ยวกับประเด็นการค้า เป็นบวกต่อตลาดหุ้นในเอเชียเป็นส่วนใหญ่

กล่าวโดยสรุป หากโจ ไบเดนชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในครั้งนี้ เรามองว่า ตลาดหุ้นไทย เอเชียและยุโรปจะได้ประโยชน์ เมื่อเทียบกับทรัมป์ ที่หากชนะการเลือกตั้งเรามองว่า ตลาดหุ้นสหรัฐจะได้ประโยชน์มากกว่า สำหรับหุ้นไทยเรามองว่าหุ้นในกลุ่ม Big cap. จะน่าสนใจ เช่น กลุ่มพลังงานอย่าง PTTEP PTT

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน(หากไบเดนชนะการเลือกตั้ง) เราแบ่งได้ 4 ธีมหลักประกอบไปด้วย

- Defensive & strong balance sheet : ADVANC INTUCH MC EPG

- EV Car & 5G : KCE HANA WICE EA

- F&B : TFG TU CPF SUN HTC XO TKN

- Profit Recovery 64F : GULF BCPG SPALI AP CRC CPALL IVL PTTGC CENTEL

- IE Reallocations : WHA AMATA