พลิกฟื้นเศรษฐกิจ 'ร้อยเอ็ด' ด้วย 'มะเขือเทศ' V-PROMPT- 'โคเนื้อ' KULA BEEF

มารู้จักกับตัวอย่างของการนำนวัตกรรมมาใช้จนเกิดความสำเร็จ ยกระดับ 'มะเขือเทศ' V-PROMPT และ 'โคเนื้อ' KULA BEEF ให้เป็นผลิตภัณฑ์พรีเมียม ราคาสูง
KEY
POINTS
- การนำนวัตกรรมมาใช้พลิกฟื้นเศรษฐกิจชุมชน โดยมีโครงการเด่นคือ 'มะเขือเทศ V-PROMPT' และ 'โคเนื้อ KULA BEEF ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่
- โครงการ 'V-PROMPT' ใช้เทคโนโลยี IoT Smart Farm ควบคุมโรงเรือนปลูกมะเขือเทศ ทำให้สามารถปลูกนอกฤดูกาล เพิ่มผลผลิตได้ 30-40% และส่งขายโรงแรมชั้นนำ
- แบรนด์ 'KULA BEEF' ใช้นวัตกรรมการบ่มเนื้อโคด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อยกระดับคุณภาพเนื้อโคทุ่งกุลาให้เป็นเกรดพรีเมียม เพิ่มมูลค่าจากเดิมได้หลายเท่าตัว
- โครงการทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของ 'หมู่บ้านนวัตกรรมเพื่อสังคม' โดย NIA ที่มุ่งสร้างรายได้ที่มั่นคงให้เกษตรกร และผลักดันให้ร้อยเอ็ดเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรมูลค่าสูง
การลงพื้นที่จริงจังหวัดร้อยเอ็ดเพื่อไปสำรวจความสำเร็จของการนำ นวัตกรรม มาแก้ปัญหาและพัฒนาให้เป็นเกษตรกรสมัยใหม่ ส่งเสริมการแปรรูปผลิตภัณฑ์พื้นบ้านให้เป็นสินค้ามูลค่าสูง เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2568
ตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการพลิกฟื้นในครั้งนี้ ได้แก่ มะเขือเทศ V-PROMPT และ โคเนื้อ KULA BEEF ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนได้ถึง 21,992 คน ครอบคลุมกว่า 20 ตำบล
- มะเขือเทศ เกรดพรีเมียม สู่เมนูอาหารโรงแรมชั้นนำ
ไม่ค่อยมีใครรู้ว่า มะเขือเทศ สามารถปลูกได้ที่ จ.ร้อยเอ็ด จนเมื่อได้มาเห็นที่ วิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรบ้านสวนอินนา แล้วลองลิ้มชิมรส ก็พบว่า นี่คืออาหารโรงแรมดี ๆ นี่เอง และเป็นที่ต้องการของโรงแรมชั้นนำในจังหวัดอย่างมากจนผลผลิตมีไม่พอส่งให้ไม่ทัน
"มะเขือเทศสามารถปลูกได้ในพื้นที่ร้อยเอ็ด แต่ต้องปลูกตามฤดูกาล โดยเฉพาะช่วงอุณหภูมิเย็นหรือฤดูหนาวจะให้ผลผลิตที่ดี
Cr. Kanok Shokjaratkul
ปัญหาที่พบตอนนี้มี 3 ประการ 1 สภาพอากาศและอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม 2 โรคและแมลงศัตรูพืช 3 ขาดแคลนแรงงานดูแล
ซึ่งโครงการ V-PROMPT ที่ได้รับการสนับสนุนจาก NIA ได้นำนวัตกรรมระบบ IoT Smart Farm เข้ามาช่วยลดข้อจำกัดด้านการปลูกพืชได้หลายด้าน
1. ควบคุมสภาพแวดล้อม ปรับอุณหภูมิโรงเรือนให้เหมาะสม ช่วยให้ปลูกได้นอกฤดูกาล 2. การป้องกันศัตรูพืช โดยโรงเรือนช่วยควบคุมแมลงได้ในระดับหนึ่ง ลดการใช้สารเคมี ส่งผลดีต่อทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค 3. ประหยัดแรงงาน ด้วยระบบให้น้ำและปุ๋ยอัตโนมัติ ลดภาระรดน้ำด้วยมือ 4. จัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้น้ำตรงเวลาในปริมาณที่แม่นยำ ช่วยประหยัดน้ำและทำให้พืชเจริญเติบโตได้ดี
เมื่อเทียบพื้นที่ขนาดเท่ากันกับการปลูกแบบดั้งเดิม ผลผลิตจากโรงเรือนที่ใช้นวัตกรรมระบบ IoT เพิ่มขึ้น 30-40%"
Cr. Kanok Shokjaratkul
อดิศักดิ์ พานา ประธานวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรบ้านสวนอินนา ผู้เสนอโครงการ V-PROMPT ระบบควบคุมอุณหภูมิและความชื้นในโรงเรือนด้วยระบบ IoT Smart Farm สำหรับผักเศรษฐกิจ เล่าให้ฟัง
"การทำการเกษตรในปัจจุบันจะใช้ การตลาด นำ การผลิต เพื่อไม่ให้ผลผลิตล้นตลาด เน้นปลูกพืชที่มีตลาดรองรับแน่นอน
ในชุมชนปลูกมะเขือเทศหลายสายพันธุ์ เช่น มันเดย์, โกเมน-ซันไชน์, เยลโลสวีท
การปลูกแต่ละรอบใช้เวลา 6 เดือน ล่าสุด ลงต้นกล้า 20,000 ต้น คาดว่าจะได้ผลผลิตประมาณ 40 ตันต่อรอบ สร้างรายได้ให้เครือข่ายเกษตรกรประมาณ 2 ล้านบาท
แม้เกษตรกรรายย่อยจะมีปัญหาด้านเงินทุนในการขยายโรงเรือน แต่โครงการ V-PROMPT เป็นแบบอย่างที่แสดงให้เห็นว่า การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ปัญหา และการสร้างเครือข่ายการผลิตร่วมกัน เป็นหัวใจสำคัญในการยกระดับผลผลิตและสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับชุมชน
สำหรับผู้ที่ต้องการสร้างนวัตกรรมเพื่อสังคมในระดับชุมชน ควรเริ่มจากการทำความเข้าใจปัญหาอย่างแท้จริงของชุมชน ทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สร้างการมีส่วนร่วม และยอมรับการใช้นวัตกรรม มีการถ่ายทอดความรู้และให้คำแนะนำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลสำเร็จสูงสุด"
Cr. Kanok Shokjaratkul
- โคเนื้อทุ่งกุลา คุณภาพพรีเมียม มูลค่าสูง
เกษตรกรทุ่งกุลาเลี้ยง โคเนื้อ มานานแต่ขายไม่ได้ราคา เนื่องจากเกษตรกรไม่มีความรู้ด้านการตัดแต่งซากและการพัฒนามาตรฐาน ทำให้คุณภาพเนื้อไม่สม่ำเสมอ ขายได้เพียง 170-200 บาทต่อกิโลกรัม
"จุดเริ่มต้นของโครงการฯ มาจากความต้องการแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรทุ่งกุลาที่เลี้ยงโคมานานแต่ขายได้ราคาต่ำ ทำยังไงให้มีคุณภาพดีขึ้นและมีรายได้สูง
หลังจากนำเทคนิค การบ่มเนื้อ มาประยุกต์ใช้ ทำให้ราคาโคเนื้อเพิ่มขึ้นเป็น 450-1,200 บาทต่อกิโลกรัม ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างเครือข่ายความร่วมมือ ตั้งแต่การคัดเลือกสายพันธุ์ การจัดการสุขภาพ ไปถึงเทคนิคการแปรรูปหลังฆ่า"
Cr. Kanok Shokjaratkul
สว่าง สุขแสง จากห้างหุ้นส่วน ทุ่งกุลาอินเตอร์เทรด จำกัด ผู้เสนอโครงการ โคเนื้อทุ่งกุลา เนื้อโคคุณภาพพรีเมี่ยมและผลิตภัณฑ์เนื้อโคแปรรูปมูลค่าสูง ภายใต้แบรนด์ KULA BEEF เล่าให้ฟัง
"นวัตกรรมหลักของโครงการ KULA BEEF คือ กระบวนการบ่มเนื้อแบบวิทยาศาสตร์ ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความนุ่ม สร้างกลิ่นรสที่เป็นเอกลักษณ์ ยกระดับคุณภาพเนื้อโคให้ได้มาตรฐานสากล
เริ่มจากการเตรียมเนื้อด้วยการแช่ในเอนไซม์ Papain 0.5% ซึ่งเป็นเอนไซม์ธรรมชาติจากมะละกอดิบ ช่วยให้เส้นใยโปรตีนแตกตัว
จากนั้นนำไปบ่มต่อในห้องควบคุมอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ที่ 4 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 28 วัน เพื่อให้เอนไซม์ทำงานเต็มที่ ทำให้เนื้อมีความนุ่ม มีกลิ่นหอมธรรมชาติ และเกิด รสนวล ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ KULA BEEF
Cr. Kanok Shokjaratkul
ตลาดเนื้อโคพรีเมียมทั้งระดับโลกและในประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเนื้อคุณภาพสูงและรสชาติที่โดดเด่น แต่เนื้อจากญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นเนื้อคุณภาพสูง ราคาสูง คนทั่วไปเข้าถึงได้ยาก
KULA BEEF ได้พิสูจน์แล้วว่า เนื้อโคพื้นบ้านไทยสามารถยกระดับขึ้นสู่ตลาดพรีเมียมได้เช่นกัน ด้วยราคาที่ทุกคนจับต้องได้ หากได้รับการจัดการคุณภาพด้วยนวัตกรรมที่เหมาะสม
จังหวัดร้อยเอ็ดเป็นที่รู้จักจากข้าวหอมมะลิทุ่งกุลา แต่วันนี้ KULA BEEF กำลังกลายเป็นเอกลักษณ์ใหม่ การพัฒนาเนื้อโคพรีเมียม ช่วยสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน ที่ชาวบ้านมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน เกิดการกระจายรายได้สู่หลากหลายอาชีพ ทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนมากเริ่มกลับมาบ้านเกิด แล้วนำความรู้เทคโนโลยี การบริหารจัดการ แนวคิดการตลาดสมัยใหม่กลับมายกระดับการผลิตท้องถิ่นมากขึ้น"
Cr. Kanok Shokjaratkul
- นำ 'นวัตกรรม' มาใช้ขับเคลื่อนพัฒนาประเทศ
"สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เปิดมิติใหม่การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนฐานรากด้วยนวัตกรรม ผ่าน โครงการหมู่บ้านนวัตกรรมเพื่อสังคม ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการนำนวัตกรรมไปแก้ปัญหาและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม"
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ NIA กล่าวถึงที่มาของงานในวันนี้ให้ฟัง
"โครงการหมู่บ้านนวัตกรรมเพื่อสังคม ไม่ใช่เพียงแค่การถ่ายทอดเทคโนโลยีแบบเดิม ๆ แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่สมบูรณ์ ซึ่งผสานความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน
ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชนท้องถิ่น และนักวิจัย เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ตรงจุด สามารถตอบสนองความต้องการของชุมชนได้
Cr. Kanok Shokjaratkul
โดยโครงการนี้มีหนึ่งตัวอย่างความสำเร็จที่น่าสนใจคือ ชุมชนสาเกตนคร จังหวัดร้อยเอ็ด สามารถนำนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ได้ครอบคลุมถึง 3 อำเภอ (อำเภอเกษตรวิสัย, อำเภอปทุมรัตน์, อำเภอโพนทราย) มีประชาชนได้รับประโยชน์ในพื้นที่กว่า 21,992 คน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ชุมชนแห่งนี้ตั้งอยู่ใน ทุ่งกุลาร้องไห้ แหล่งเกษตรกรรมที่อุดมสมบูรณ์ แต่ยังขาดการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะช่วยยกระดับมูลค่าผลผลิตและคุณภาพชีวิตของเกษตรกร
บทบาทของ NIA นอกเหนือจากการสนับสนุนงบประมาณและเทคโนโลยีแล้ว ยังทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างผลงานนวัตกรรมที่มีคุณภาพกับความต้องการของชุมชน
โดย NIA ได้ร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรหลัก อาทิ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือ สกสว. หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ หรือ บพท. สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ หรือ วช. และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน
Cr. Kanok Shokjaratkul
ในรูปแบบหุ้นส่วนทางกลยุทธ์ เพื่อขับเคลื่อนตามทิศทางของกองทุน ววน. แผนงาน P11 (S2) ที่เน้นการผลักดันนวัตกรรมไปแก้ไขปัญหาความยากจนด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม
การดำเนินงานครั้งนี้เริ่มต้นจากการลงพื้นที่และประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้งองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นและผู้แทนชุมชน เพื่อรับฟังปัญหาและความต้องการที่แท้จริง จนทราบโจทย์ปัญหาในประเด็นที่ชุมชนต้องการแก้ไข ครอบคลุมตั้งแต่นวัตกรรมการเกษตร การแปรรูปผลิตภัณฑ์ชุมชนพื้นบ้าน การบริหารจัดการน้ำ ปศุสัตว์และแมลงเศรษฐกิจ เครื่องจักรสำหรับหัตถกรรมพื้นถิ่น การตลาดดิจิทัล และการจัดการสิ่งแวดล้อม
หลังจากนั้น จึงเปิดรับผลงานนวัตกรรมที่พร้อมขยายผลเข้ามาตอบโจทย์เหล่านี้ จากการคัดเลือกอย่างเข้มข้น ปัจจุบันมีผลงานนวัตกรรม 20 โครงการ ที่นำเข้ามาขยายผลในพื้นที่ชุมชนสาเกตนคร ซึ่งตอบโจทย์ตามประเด็นปัญหาที่ชุมชนเผชิญ
แต่ละโครงการล้วนมีเอกลักษณ์และจุดแข็งที่แตกต่างกัน แต่มีเป้าหมายเดียวกันคือการยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตของชุมชนอย่างยั่งยืน
Cr. Kanok Shokjaratkul
ความโดดเด่นของโครงการนี้อยู่ที่การเชื่อมโยง Soft Power หรืออัตลักษณ์ท้องถิ่นเข้ากับนวัตกรรมอย่างลงตัว เช่น โครงการโคเนื้อทุ่งกุลา ของห้างหุ้นส่วน ทุ่งกุลาอินเตอร์เทรด จำกัด ร่วมกับ บริษัท นครพนม บีฟ (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นกรณีศึกษาที่ชัดเจนของการผสานนวัตกรรมกับทรัพยากรท้องถิ่น นำมายกระดับผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นให้ก้าวสู่ตลาดพรีเมียมที่ช่วยสร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้กับเกษตรกร
และยังช่วยยกระดับมาตรฐานการเลี้ยงโคในพื้นที่ทั้งหมด ทำให้เกษตรกรได้เห็นว่าการเลี้ยงโคแบบมีมาตรฐานสามารถสร้างมูลค่าที่สูงขึ้นได้จริง ก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงและดูแลโคให้ดีขึ้น รวมถึงการสร้างเครือข่ายผู้เลี้ยงโคที่มีคุณภาพในพื้นที่ จึงส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนในวงกว้าง
อีกตัวอย่างที่น่าสนใจคือ โครงการ V-PROMPT ของวิสาหกิจชุมชนแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรบ้านสวนอินนา ร่วมกับ บริษัท เอสโลจิสต์ จำกัด ที่นำเทคโนโลยี IoT Smart Farm มาประยุกต์ใช้ในการควบคุมอุณหภูมิและความชื้นในโรงเรือนปลูกผักเศรษฐกิจ
ช่วยให้เกษตรกรสามารถปรับปรุงและควบคุมคุณภาพผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลงและเกษตรกรมีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด"
Cr. Kanok Shokjaratkul
- ผลักดันคนในจังหวัดเข้าถึง ‘นวัตกรรม’ ให้มากขึ้น
"การเข้ามาสนับสนุนของ NIA ในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ โดยเฉพาะจังหวัด ร้อยเอ็ด ในส่วนขององค์ความรู้ เทคโนโลยี และโมเดลการพัฒนา ช่วยยกระดับศักยภาพของชุมชนเป็นอย่างมาก
ทั้งในด้านการพัฒนาโคเนื้อ เกษตรมูลค่าสูง การแปรรูปสินค้า และระบบน้ำอัจฉริยะ ถือเป็นการสร้างฐานรากที่สำคัญให้เกษตรกรสามารถก้าวเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมได้จริง"
ชัชวาลย์ เบญจสิริวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ที่มาร่วมงานออกร้านนำเสนอผลิตภัณฑ์ของชุมชน ในโครงการหมู่บ้านนวัตกรรมเพื่อสังคม กล่าวบนเวทีจัดงาน
Cr. Kanok Shokjaratkul
"โดยจังหวัดได้วางเป้าหมายชัดเจนในการผลักดันร้อยเอ็ดให้เป็น ศูนย์กลางโคเนื้อคุณภาพ ของภาคอีสาน มีแผนสนับสนุนโรงงานแปรรูปเนื้อครบวงจร โดยใช้งบพัฒนาจังหวัดและความร่วมมือกับภาคเอกชนควบคู่กันไป
รวมถึงการส่งเสริมเครือข่ายเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อให้เข้มแข็งขึ้น ทั้งด้านการผลิต มาตรฐานฟาร์ม และการบริหารจัดการ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดระดับสูง และการผลักดันผลผลิตการเกษตรกรที่มีมูลค่าสูง เช่น มะเขือเทศเชอร์รี่
เรื่องตลาดเป็นหัวใจสำคัญ จึงได้ทำงานร่วมกับหอการค้าจังหวัด พาณิชย์จังหวัด และบริษัทรู้รักสามัคคีร้อยเอ็ด วิสาหกิจเพื่อสังคม เพื่อสร้างช่องทางตลาดทั้งภายในและภายนอกจังหวัด การส่งเสริมการสร้างแบรนด์สินค้า การเพิ่มมูลค่าผ่านการแปรรูป รวมถึงการเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการอาหาร เครื่องดื่ม และเกษตรแปรรูป
ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้ผลผลิตของเกษตรกรมีตลาดรองรับที่มั่นคงและยั่งยืนในอนาคต จังหวัดพร้อมร่วมมืออย่างเต็มที่ เพื่อผลักดันให้คนในพื้นที่เข้าถึงเทคโนโลยี ใช้นวัตกรรมเพิ่มรายได้ และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเพื่อส่งเสริมให้ร้อยเอ็ดเป็นจังหวัดนำร่องด้านนวัตกรรมของประเทศไทย"
Cr. Kanok Shokjaratkul
ปัจจุบัน นวัตกรรมพร้อมใช้ ของชุมชนสาเกตนคร จ.ร้อยเอ็ด มี 11 โครงการ แบ่งตามปัญหา ดังนี้
1. นวัตกรรมการบริหารจัดการน้ำและระบบควบคุมเกษตรอัตโนมัติแม่นยำ จำนวน 3 โครงการ ได้แก่
- โครงการ V-PROMPT: ระบบควบคุมอุณหภูมิและความชื้นในโรงเรือนด้วยระบบ IoT Smart farm สำหรับผักเศรษฐกิจ
- โครงการ FarmConnect: ระบบบริหารจัดการน้ำแบบเกษตรแม่นยำสำหรับผักเศรษฐกิจ
- โครงการ นวัตกรรมการสำรวจพื้นที่เพื่อวางแผนและจัดทำผังน้ำชุมชนด้วย AppSheet
2. นวัตกรรมเกษตรอินทรีย์ จำนวน 2 โครงการ ได้แก่
- โครงการใบหม่อนสร้างอาภร: ระบบบริหารจัดการน้ำแบบไฮโดรกริดผสมผสานสารปรับปรุงดินสำหรับการปลูกหม่อนไหม
- โครงการ Farmrun: แอปพลิเคชันการบริหารจัดการบัญชีและนวัตกรรมสารชีวภัณฑ์และควบคุมแมลงศัตรูพืชด้วยศัตรูพืชทางธรรมชาติ
3. นวัตกรรมการออกแบบและเครื่องจักรสำหรับหัตถกรรมพื้นถิ่น จำนวน 1 โครงการ ได้แก่
- โครงการ ผ้าขาวม้าไฉไล: ระบบทอผ้ากึ่งอัตโนมัติสำหรับชุมชน
4. นวัตกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์ชุมชนพื้นถิ่น จำนวน 1 โครงการ ได้แก่
- โครงการ นวัตกรรมการจัดการโรงงานผลิตข้าวเม่าและระบบเตาเศรษฐกิจประยุกต์สำหรับชุมชน
5. นวัตกรรมด้านปศุสัตว์และแมลงเศรษฐกิจ จำนวน 4 โครงการ ได้แก่
- โครงการ ระบบเลี้ยงและควบคุมอัตโนมัติสำหรับจิ้งหรีดจากพลังงานแสงอาทิตย์
- โครงการ นวัตกรรมอาหารโคเนื้อที่เหมาะสมต่อช่วงวัยจากเศษฟางข้าว
- โครงการ เซียนวัว: แอปพลิเคชันบริหารจัดการฟาร์ม และฐานข้อมูลน้ำเชื้อพันธุ์โคเนื้อกุลาบรีฟ
- โครงการ โคเนื้อทุ่งกุลา: เนื้อโคคุณภาพพรีเมี่ยมและผลิตภัณฑ์เนื้อโคแปรรูปมูลค่าสูง
Cr. Kanok Shokjaratkul
Cr. Kanok Shokjaratkul
Cr. Kanok Shokjaratkul
Cr. Kanok Shokjaratkul
Cr. Kanok Shokjaratkul
Cr. Kanok Shokjaratkul







