‘บาทอ่อน’ ปัจจัยสู่ชัยชนะ ‘สงครามเศรษฐกิจ’

"บาทอ่อน" ปัจจัยสำคัญในสงครามเศรษฐกิจที่ต้องจับตามอง หากต้องการให้ GDP กลับขึ้นมาโต 5-6% จากปัจจุบันแบงก์ชาติตั้งเป้าถอยเหลือ -8% แม้ตามปกติวิสัยทฤษฎีการค้าเสรีไม่ควรยุ่งกับอัตราแลกเปลี่ยน แต่เนื่องจากประเทศรอบไทยใช้กลยุทธ์นี้ ไทยจึงต้องทำเช่นกัน
สำหรับการส่งออก อัตราแลกเปลี่ยนก็เหมือนปืนใหญ่ในกองทัพ ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยก็เปรียบเหมือนแม่ทัพ ถ้ายังไม่เชื่อฟังคำสั่งของรัฐบาลให้รุกเพื่อเพิ่ม GDP ให้ได้ 3-6% แต่กลับตั้งเป้าถอย GDP ลงเหลือ -8% โดยปล่อยให้ค่าเงินบาทแข็งไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าผู้ประกอบการเดือดร้อนอย่างหนัก ประชาชนตกยาก ไร้รายได้ เสถียรภาพเศรษฐกิจการเมืองไปต่อไม่ได้ คนตกงานไปค้ายา จนนักโทษมีมากถึง 400,000 คน
เหมือนหนึ่งรัฐบาลสั่งรุกเข้าไปยึดพื้นที่คืนจากข้าศึก ซึ่งกำลังทำความเดือดร้อนให้กับประชาชน แต่แม่ทัพกลับเพิกเฉยอ้างแต่สัญญาลดกำลังอาวุธซึ่งฝั่งตรงข้ามไม่ปฏิบัติตาม โดยสั่งให้ทหารใช้ปืนใหญ่ยิงได้ไม่เกิน 10 กิโลเมตรตามที่ตกลง แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับใช้ปืนใหญ่วิถีทำการ 15 กิโลเมตร แล้วทหารไทยจะไปสู้ใครได้ แล้วไม่สงสารคนไทยในเขตยึดครองของข้าศึกที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส หรือว่าท่านไม่ใช่คนไทย
ในทางธุรกิจ การค้าขาย เงินเป็นเสมือนหนึ่งกองทัพของประเทศ การทำการค้าก็ต้องอาศัยเงินเหมือนกับการรบของประเทศก็ต้องอาศัยทหารหรือกองทัพ การรบกับอุปสรรคต่างๆ ของประเทศก็ต้องอาศัยเงิน นโยบายการเงินที่ถูกต้อง ทั้งนี้ก็ต้องอาศัยคนคุมนโยบายการเงิน สำหรับประเทศไทยก็คือผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ถ้าต้องการรบชนะทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออก เราก็ต้องอาศัยเงินซึ่งมีศักยภาพสูง นั่นคือเงินที่มีอัตราแลกเปลี่ยนต่ำ เงินบาทต้องไม่แข็งเกินไป ถ้าเงินบาทแข็งเกินไปก็เหมือนกองทัพที่อ่อนแอ ไม่สามารถไปรบกับใครได้ทั้งสิ้น
สำหรับประเทศไทยผู้ดูแลนโยบายการเงินก็คือผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ถ้าท่านต้องการให้รบชนะคืออยากได้ GDP โต 5% หรือ 6% ท่านต้องมีกองทัพหรือการเงินที่แข็งแรง คือเงินบาทต้องอ่อนลงอีก 10% เพื่อเพิ่มศักยภาพกองทัพในการรบ ตามปกติวิสัยทฤษฎีการค้าเสรี เราไม่ควรไปยุ่งกับอัตราแลกเปลี่ยน แต่ในเมื่อธนาคารชาติของประเทศรอบข้างคู่แข่งของเรา เขามายุ่งกับการทำให้เงินของเขาอ่อน เราก็ต้องทำให้เงินบาทเราอ่อนมาใกล้เคียงกับเขาเพื่อที่จะสู้เขาได้ เหมือนหนึ่งกองทัพ ถ้าเขาเพิ่มจรวดเพิ่มเรือบินเรือรบรถถังแล้ว ถ้าเราไม่เพิ่มกองกำลังรบของเรา จะไปสู้กับศัตรูได้หรือ อาณาจักรของเราก็จะถูกหดหายไปเรื่อยๆ
ท้ายที่สุด อย่าหวังเลยว่า GDP จะได้แม้แต่ -8% ก็จะไม่ได้ แต่ถ้าเรายอมให้เงินบาทอ่อนลง 10% กล่าวคือ จาก 31 บาทต่อดอลลาร์เป็น 35 บาทต่อดอลลาร์ เราก็สามารถเพิ่มศักยภาพของกองทัพการเงินให้สู้กับต่างชาติได้ เราสามารถเพิ่ม GDP ให้โตขึ้นอย่างน้อย 5% ได้แน่นอน เมื่อ GDP โตขึ้นอีก 5% ก็จะทำให้โรงงานต่างๆ ในประเทศสามารถเพิ่มกำลังผลิต มีประสิทธิภาพและกำไรมากขึ้น การว่าจ้างแรงงานก็เต็ม 100% คนว่างงานซึ่งต้องไปประกอบอาชีพผิดกฎหมายก็จะน้อยลง (ขณะนี้คนติดคุกคดียาเสพติดมีอยู่ถึง 4 แสนคน แต่ตัวเลขของรัฐบาลกลับบอกว่ามีคนตกงานแค่ 0.5%) ก็จะเป็นการลดภาระของรัฐบาล ลดการสูญเสียเงินภาษี ซึ่งเก็บจากประชาชน
นอกจากนี้ ความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของคนงานก็จะมากขึ้น รัฐบาลไม่ต้องไปชดเชยอะไรทั้งสิ้น เมื่อโรงงานต่างๆ มีกำไรทุกคนก็สนใจที่จะลงทุนเพิ่มขึ้นจะเพิ่ม investments มากขึ้น นอกจากคนไทยจะลงทุนแล้วต่างชาติพอเห็นมีกำไรต่างชาติคนจะวิ่งมาลงทุนมากขึ้นอีก ค่าแรงของคนงานก็จะเพิ่มขึ้น ตามที่รัฐบาลต้องการให้เห็นความอยู่ดีกินดีของประชาชน
เมื่อทุกคนมีกำไร มีรายได้เพิ่มขึ้นรัฐบาลก็สามารถเก็บภาษีอากรได้มากขึ้น ทำให้งบการลงทุนของรัฐบาล งบค่าใช้จ่ายของรัฐบาลเพิ่มขึ้น ทำให้เสถียรภาพทางการคลังทางการเมืองของรัฐบาลดีขึ้น และเสถียรภาพทางการเงินของประเทศก็ดีขึ้นเช่นกัน และที่สำคัญประชาชนทั้งประเทศก็จะอยู่ดีกินดีด้วย
แต่ตรงนี้มีข้อเสียอยู่นิดเดียวคือ ขณะนี้เราได้เกินดุลการค้าอยู่ประมาณ 90,000 ล้านบาทต่อเดือน ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องออกมาประกันเงินดอลลาร์ในอัตรา 35 บาท ทำให้จะต้องออกพันธบัตรเพิ่มอีก 10% ก็คือ 9,000 ล้านบาทต่อเดือน หรือเท่ากับประมาณ 108,000 ล้านบาทต่อปี เทียบกับเงินหมุนเวียน M1 Money Supply ซึ่งมีอยู่ประมาณ 2.4 ล้านล้านบาท ทำให้เงินหมุนเวียนมีมากขึ้นประมาณ 4% ต่อปี มีผลทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นประมาณ 4% ต่อปี (เมื่อหักค่า deflation 2% จากปัจจัยคนว่างงานและ COVID-19 จะทำให้เงินเฟ้อ 2%)
ทั้งนี้จะมีผลทำให้ค่าแรงเพิ่มขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งก็จะเป็นประโยชน์ต่อการอยู่ดีกินดีของประชาชน เพราะฉะนั้นการที่รัฐบาลจะให้ได้ GDP โตขึ้นถึง 5% จำเป็นต้องให้แม่ทัพการเงินคือผู้ว่าการ ผู้ดูแลนโยบายการเงิน หรือผู้ว่าการธนาคารประเทศไทยต้องลดค่าเงินบาทลง 10% มิฉะนั้นรัฐบาลจะไม่มีหวังที่จะได้รบชนะ และรัฐบาลจะไม่สามารถที่จะทำ GDP ให้โตอีก 5% โดยอาศัยนโยบายการคลังจากกระทรวงการคลังอย่างเดียว
เพราะถ้าในการค้า รัฐมนตรีคลังเทียบเท่ากับรัฐมนตรีกลาโหมในการรบนั่นเอง ถ้าไม่สามารถให้แม่ทัพเสริมกองทัพให้แข็งแรงได้ก็ไม่มีวันที่จะรบชนะ โดยแม่ทัพที่คุมกองทัพหรือผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้คุมนโยบายการเงินไม่ให้ความร่วมมือเพิ่มศักยภาพของกองทหาร ก็อย่าหวังชนะการรบนี้เลย
นอกจากนี้ รัฐบาลควรผ่อนผันการเดินทางเข้ามาทำธุรกิจและการทัศนาจรของชาวต่างประเทศ ภายใต้การดูแลอย่างเข้มงวด โดยให้กินยาฆ่าเชื้อไวรัส Corona virus ที่ทาง TPI ใช้อยู่อย่างได้ผล (BIOKNOX) โดยพนักงานใช้ดื่มฆ่าเชื้อไวรัสและใช้เจลล้างมือพร้อมใส่ MASK ป้องกัน กระทั่งบัดนี้พนักงานและสมาชิกในครอบครัวเป็นแสนคนก็ไม่มีใครติดโรค COVID สำหรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ถนน รถไฟ สนามบิน คลองส่งน้ำ โรงไฟฟ้า ประปา โรงพยาบาล ไม่ควรชะลอการสร้าง เพราะจะเป็นการสร้างงานและกระจายเงินให้ประชาชน เพิ่ม GDPได้อย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์
นโยบายการเงินธนาคารแห่งประเทศไทยควรสั่งสถาบันการเงินผ่อนปรนการจัดลำดับหนี้ การเป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ออกไปจนกว่าเศรษฐกิจจะกลับมาเหมือนเดิม และพักการชำระดอกเบี้ยสำหรับผู้ประกอบการและคนยากจน ที่ได้รับผลกระทบจากการใช้มาตรการฉุกเฉินระงับการประกอบธุรกิจและการเดินทางของรัฐบาล เพราะเป็นเหตุสุดวิสัย
ด้วยอำนาจรัฐและรัฐบาลอาจชดใช้ดอกเบี้ยให้ธนาคารพาณิชย์เท่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ประมาณ 0.1-0.4% ต่อปี เพื่อให้เกิดเสถียรภาพทางการเงินและการคลังของประเทศ ทำให้ทุกคนสามารถฟื้นกลับมาประกอบอาชีพได้ตามปกติ
'คนละครึ่ง' ลงทะเบียน 20 ม.ค.นี้ ใครไม่มีสิทธิ์รับเงิน 3,500 บาทบ้าง?
‘เราชนะ’ วันนี้ลุ้น! ครม. อนุมัติหลักเกณฑ์จ่าย 'เงินเยียวยา' 31 ล้านคน
‘เราชนะ’ ลุ้นวันนี้! เงื่อนไขสำคัญ ลงทะเบียน www.เราชนะ.com รับเงินเยียวยาโควิดรอบใหม่
'คนละครึ่งเฟส 2' รอบเก็บตก เคยถูกตัดสิทธิ 14 วัน ลงได้อีกหรือไม่?
'ตลาดหุ้น' ที่ไหนจะรุ่ง ที่ไหนจะร่วง ในปี 2021
เปิดเหตุผล 'เราชนะ' จ่ายเยียวยา โควิดรอบใหม่กระทบพื้นที่เศรษฐกิจ 75%