'ปิยบุตร' เคลียร์ตำรวจลงตัว แค่มาตรวจไม่แจ้งข้อหา

'ปิยบุตร' เคลียร์ตำรวจลงตัว แค่มาตรวจไม่แจ้งข้อหา

'ปิยบุตร' เคลียร์ก้บตำรวจจบ เผย แค่มาตรวจหาของผิดกฎหมายแต่ไม่พบ ห่วง ตีความใช้อำนาจกว้างจำกัดเสรีภาพ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 16.20น. ภายหลังนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้หารือเป็นการภายในกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อาคารไทยซัมมิทเป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง นายปิยบุตร ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ผู้กำกับสน.มักกะสัน ใช้อำนาจพ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยการให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการตรวจค้นว่ามีการกระทำสิ่งผิดกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเมื่อตำรวจเข้าตรวจค้นพบไม่มีสิ่งผิดกฎหมายใดๆ จึงได้ลงนามข้อบันทึกของตำรวจ และไม่มีการแจ้งข้อหาหรือร้องทุกข์กล่าวโทษใดๆ กับตน

นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า ข้อสังเกตุหนึ่งที่น่าเป็นกังวล คือ ตามความในมาตรา 9 ประกอบมาตรา 11 แห่งพ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ในข้อ 2 ระบุว่า ห้ามเสนอข่าว จำหน่าย หรือทำให้เผยแพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสิ่งอื่นใด รวมตลอดทั้งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์บรรดาที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนในทั่วราชอาณาจักร

นายปิยบุตร กล่าวว่า ข้อบังคับนี้ตีความได้อย่างกว้างขวางในการใช้อำนาจปิดกั้นเสรีภาพของสื่อมวลชน เพราะการชุมนุมที่อยู่ในขณะนี้จำเป็นต้องเปิดข่าวสารได้เต็มที่ ให้ประชาชนได้พิจารณาว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แล้วเสรีภาพของสื่อมวลชนจะอยู่ตรงไหน หากเรานำเสนอข่าวโดยไม่บิดเบือน แต่ผู้ใช้อำนาจอาจบอกว่าบิดเบือนก็ได้ นับเป็นเรื่องตลกร้ายอย่างยิ่ง เพราะขณะที่ตนแถลงข่าวไม่เห็นด้วยกับการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ใช้อำนาจพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในทันที จึงอยากเรียกร้องให้สื่อมวลชนช่วยกันเรียกร้องตรงจุดนี้ด้วย

ขณะที่ การแถลงข่าวต่อการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงและการดำเนินคดีกรณีขบวนเสด็จนั้น นายปิยบุตร กล่าวว่า การประกาศเช่นนั้นจะต้องมีเหตุอันควรว่ากระทบต่อความมั่นคงของรัฐแล้ว คือให้มีข้อเท็จจริงเกิดขึ้นก่อนจึงจะประกาศได้ แต่การชุมนุม 3 ครั้งที่ผ่านมาของนิสิตนักศึกษา ไม่มีเหตุว่ากระทบความมั่นคงของรัฐ มีแต่การตั้งเวทีปราศรัย ผูกโบว์ขาว ชู 3 นิ้ว ร้องรำทำเพลง เดินขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาล ผู้ที่เป็นวิญญูชนมีสติสัมปชัญญะจะเห็นได้ว่าการชุมนุมไม่มีอะไรที่รุนแรง ไม่มีการทำร้ายทรัพย์สินของราชการหรือเอกชนรายใดรายหนึ่ง แล้วเหตุใดพล.อ.ประยุทธ์ จึงเลือกใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ ควรซื่อสัตย์กับตนเอง ควรกล้าหาญ พูดความจริง ว่าที่ท่านประกาศใช้ เพราะตนเองไม่สบายใจเรื่องที่นิสิตนักศึกษาเรียกร้องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ กระทบเสถียรภาพต่อรัฐบาล กระทบเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของตนเอง ซึ่งตนคิดว่านี่คือเหตุผลของพล.อ.ประยุทธ์ มากกว่า 

“หากเรายังยอมให้รัฐบาลใช้กฎหมายแบบฟุ่มเฟือย ก็เหมือนเราปล่อยให้รัฐบาลรวบอำนาจเข้าสู่ตัวเอง เหมือนการรัฐประหารโดยไม่ฉีกรัฐธรรมนูญ และไม่ต้องใช้กำลังทหาร พล.อ.ประยุทธ์ทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อีกทั้งระบบกฎหมายไทยไม่มีการถ่วงดุลใดๆ สภาผู้แทนราษฎรไม่มีอำนาจในการยับยั้งการใช้อำนาจของนายกฯ เลย เคยมีการร้องต่อศาลปกครอง ศาลยุติธรรม ก็ไม่มีการรับฟ้อง การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเครื่องมืออำนวยความสะดวกของรัฐบาล”

เลขาธิการคณะก้าวหน้า กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนอยากฝากถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตนทราบดีว่าท่านกำลังปฏิบัติหน้าที่ และอยู่ภายใต้คำสั่งของผู้บังคับบัญชา แต่อีกสถานะหนึ่งท่านคือมนุษย์ เป็นประชาชน จึงมิใช่เครื่องจักรสังหาร อยากให้เจ้าหน้าที่ได้คิด ว่าสิ่งที่ท่านทำอยู่ถูกหรือผิด ที่ต้องทำตามหน้าที่จับนิสิตนักศึกษาเข้าคุก อยากให้ทุกคนรวมพลังหยุดรัฐประหารผ่านการประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน นี่คือประเทศของทุกคนไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง การที่คนรุ่นใหม่ออกมาเรียกร้องเพราะความล้มเหลวของรัฐบาลเอง ดังนั้นจึงอยากขอให้พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในทันที