‘สหรัฐ- จีน’ตึงเครียด กดหุ้นไทยผันผวน

‘สหรัฐ- จีน’ตึงเครียด กดหุ้นไทยผันผวน

สัปดาห์นี้เงินบาทผันผวนในทิศทางที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ปัจจัยที่กดดันเงินบาท และค่าเงินเอเชียโดยรวมยังเป็นเรื่องจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกที่ยังสูงมากต่อเนื่อง ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีนที่เพิ่มขึ้นกดดันตลาดการเงินเช่นกัน

ทำให้ความต้องการถือสินทรัพย์เสี่ยงลดลง นอกจากนี้ในสัปดาห์นี้ยังมีประเด็นที่สร้างความกังวลต่อนักลงทุนจากข่าวที่ว่าประเทศไทยอาจจะถูกกระทรวงการคลังสหรัฐจับตาว่าเป็นประเทศที่มีการแทรกแซงค่าเงิน เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้ากับสหรัฐอีกด้วย

ในช่วง 1 สัปดาห์ข้างหน้า ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย คาดว่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 31.50-32.00 บาทต่อดอลลาร์ โดยประเด็นหลักยังต้องจับตาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศต่างๆ ที่ยังเพิ่มขึ้นมากต่อเนื่อง และความขัดแย้งสหรัฐกับจีน

ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (24 ก.ค.) ปิดซื้อขายที่ 1,340.92 จุด ลดลง 18.73 จุด หรือ -1.38% มูลค่าการซื้อขาย 46,529.69 ล้านบาท  บล.ทรีนีตี้ ระบุ แนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า คาดแกว่งตัวในกรอบแคบๆ เนื่องจากยังมีแรงกดดันจากปัจจัยในต่างประเทศโดยเฉพาะปัญหาความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีน ประกอบกับเป็นช่วงทยอยประกาศงบไตรมาส 2 ปี 2563 ของบริษัทจดทะเบียน รวมถึงยังต้องจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในช่วงวันที่ 28-29 ก.ค.นี้ ซึ่งอาจมีการส่งสัญญาณการออกมาตรการด้านการเงินออกมาเพิ่มเติม  โดยประเมินกรอบดัชนีไว้ที่ระดับ 1,300-1,380 จุด

ด้านความเคลื่อนไหวของราคาทองคำอยู่ที่ 1,893.68 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในขณะที่ราคาทองคำในประเทศอยู่ที่ 28,400 บาทต่อบาททองคำ ด้าน วายแอลจี บูลเลี่ยนอินเตอร์เนชั่นแนล  แนะนำนักลงทุนสามารถเข้าซื้อเก็งกำไรระยะสั้น โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 1,883-1,878 ดอลลาร์ต่อออนซ์  โดยหากราคาทองคำไม่หลุดแนวรับ ราคาทองคำจะพยายามปรับตัวขึ้น เมื่อราคาขยับขึ้นให้จับตาโซนแนวต้านระดับ 1,898-1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 1,911 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากราคาทองคำดีดตัวขึ้นทดสอบยังไม่สามารถขึ้นไปยืนได้ โดยนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยอาจทยอยทำกำไรออกมาเมื่อราคาขยับขึ้น