‘ดับบลิวเอชเอ’ลุ้นยอดขายที่ดินพุ่ง

‘ดับบลิวเอชเอ’ลุ้นยอดขายที่ดินพุ่ง

“ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น” มั่นใจยอดขายที่ดินปีนี้โตตามเป้า 1,400 ไร่ เหตุรับอานิสงส์กลุ่มทุนย้ายฐานการผลิตจากจีนครั้งใหญ่ หลังมีแรงกดดันจากสงครามการค้า-ผลกระทบโควิด-19 ส่วนปัจจุบันตุนแบ็คล็อกแล้วกว่า 348 ไร่ รอรับรู้ยอดโอนในช่วงที่เหลือของปี

นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เปิดเผยว่าบริษัทยังคงเป้ายอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทปีนี้รวมจำนวน 1,400 ไร่ เนื่องจากเชื่อมั่นว่าภายหลังจากนี้จะเกิดการเคลื่อนย้ายฐานการผลิตของกลุ่มทุนในประเทศจีนในครั้งใหญ่ โดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติที่มีฐานผลิตในจีนที่มีแนวโน้มจะโยกย้ายฐานลงมายังกลุ่มประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มมากขึ้น เพราะผลพวงจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) และความวิตกต่อสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐระลอกใหม่

ทั้งนี้เบื้องต้นคาดว่าจำนวนยอดขายที่ดินปีนี้นั้น แบ่งเป็นยอดขายที่ดินในนิคมฯประเทศไทยจำนวน 1,200 ไร่ และยอดขายที่ดินในนิคมฯที่ประเทศเวียดนามจำนวน 200 ไร่ โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายที่ดินรอโอน (Backlog) แล้วจำนวน 348 ไร่ และมียอดขายที่มีการเซ็นสัญญาแสดงเจตจำนง (LOI) แล้วประมาณ 242 ไร่ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มทยอยรับรู้ยอดโอนฯได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่ในช่วงไตรมาส 1/2563 ที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายที่ดินแล้วจำนวน 51ไร่

ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้บริษัทมีแผนจะเปิดนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มอีกจำนวน 1 แห่ง ได้แก่ นิคมฯดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 หลังจากปัจจุบันบริษัทมีนิคมอุตสาหกรรมรวมทั้งสิ้น 12 แห่ง รวมพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 68,900ไร่ โดยแบ่งเป็นนิคมฯในไทยจำนวน 11 แห่ง และที่ประเทศเวียดนามจำนวน 1 แห่ง รวมถึงยังมีแผนที่จะสร้างนิคมฯแห่งใหม่เพิ่มขึ้นอีก 4 แห่งตามแผนภายในปี 2566 โดยปัจจุบันมีพื้นที่รอการพัฒนาอยู่ประมาณ 10,000 ไร่ พร้อมมั่นใจว่ากลุ่มนิคมฯจะสามารถกลับมาพลิกฟื้นได้ในช่วงครึ่งปีหลัง

“ภาพรวมทิศทางผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกยังเห็นไม่ชัดเจนว่าจะปรับตัวดีขึ้นหรือแย่ลง แต่เชื่อว่าอานิสงส์จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนและโควิด-19 จะส่งผลดีต่อยอดขายที่ดินในนิคมฯทั้งในไทยและเวียดนาม เพราะจะทำให้กลุ่มทุนย้ายฐานการผลิตรอบใหญ่ออกจากประเทศจีน เนื่องจากนักลงทุนไม่ชอบมีความเสี่ยงหรือมีความเปลี่ยนแปลงรุนแรง จึงคาดว่ากลุ่มนิคมฯจะสามารถกลับมาพลิกฟื้นได้ในช่วงครึ่งปีหลัง”