'ธนินท์' ชู 'หนองหว้าโมเดล' ดึงรายได้เกษตรกรโตยั่งยืน

'ธนินท์' ชู 'หนองหว้าโมเดล' ดึงรายได้เกษตรกรโตยั่งยืน

สืบเนื่องจากที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรี ที่ได้ส่งจดหมายขอความร่วมมือจากนักธุรกิจชั้นนำให้ร่วมช่วยชาติฝ่าวิกฤตโควิด-19

นักธุรกิจทั้งหลายได้ตอบกลับจดหมายบ้างแล้ว ในส่วนของ ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์(ซีพี) ก็ได้ตอบจดหมายนายกรัฐมนตรีแล้วเช่นกัน  ซึ่งเนื้อหาในจดหมายมีสาระสำคัญที่น่านำมาถ่ายทอดและจะเป็นประโยชน์โดยส่วนร่วมหลายประการ

โอกาสนี้ซีพีได้นำเสนอโครงการที่จะทำและเป็นที่น่าสนใจอย่างมาก คือ เกษตรผสมผสานในยุค 4.0 โดยจะทำโครงการต้นแบบแนวคิด “3 ประโยชน์ 4 ประสาน” ที่ซีพีได้ทำจริงมีประสบการณ์มาแล้ว โดยจะเลือก 2- 3 จังหวัดของไทยนำร่องทำเป็นโมเดลต้นแบบ เพื่อยกระดับเกษตรกรให้มีรายได้สูงอย่างยั่งยืน

แนวคิดนี้ 4ประสานคือความร่วมมือ 4 ฝ่าย คือ รัฐบาล เอกชน สถาบันการเงิน และเกษตรกร เพื่อรองรับการพัฒนาเกษตรกรรมทันสมัย ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ 3 ประการ คือ ประโยชน์ต่อประเทศ ต่อประชาชน และสุดท้ายเป็นประโยชน์ต่อองค์กร

     “การเรียนรู้จากหลายโครงการในอดีต ซึ่งเป็นโครงการที่ตอบข้อถามนายกรัฐมนตรีด้วยแล้วต้องไม่ธรรมดา เพราะไม่เพียงช่วยลดผลกระทบของเกษตรกรที่ได้รับจากพิษเศรษฐกิจอันเป็นผลจากโควด-19แต่ต้องมองไปถึงการเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืน โดยใช้เทคโนโลยียุคเกษตร 4.0”

 

 

 

สำหรับแนวคิดนี้เริ่มจากประเทศไทย หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า ที่น้อมรับแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ด้านการปฏิรูปที่ดิน (พ.ศ.2516) ด้วยทรงเล็งเห็นว่า การปฏิรูปที่ดินเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้เกษตรกรมีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง 

ขณะเดียวกัน สิ่งที่ต้องช่วยเหลือเกษตรกรเหล่านี้ คือ การนำเทคโนโลยีที่ดีที่สุดมาถ่ายทอดให้กับเกษตรกร พร้อมทั้งช่วยเหลือด้านการตลาดที่ซีพีมีความเชี่ยวชาญเพื่อให้เกษตรกรเหล่านี้มีความมั่นคงในอาชีพอย่างแท้จริง โครงการ “หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า” ก่อตั้งขึ้น ในปี 2520 บนที่ดินขนาด 1,253 ไร่ ต.บ้านซ่อง อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา         

การดำเนินงานหลักๆคือส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงสุกรแก่เกษตรกรที่ยากจน โดยมีนายอำเภอจะเป็นผู้คัดเลือกเกษตรกรเหล่านี้ ถึงแม้ผู้ที่ร่วมโครงการจะไม่มีผู้ค้ำประกัน แต่ธนาคารซึ่งเป็นผู้ปล่อยกู้เงินทุนค่อนข้างมั่นใจว่า หากเกษตรกรมีซีพีเป็นผู้ให้คำปรึกษาแล้วทุกอย่างจะราบรื่น เพราะซีพีเป็นทั้งตลาดรับซื้อ และค้ำประกันวงเงินกู้ของเกษตรกรกับธนาคาร

ผลปรากฎว่าผ่านไป 10 ปี จากเกษตรกรสามารถเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทั้งหมด ได้มีที่ดิน 24 ไร่เป็นของตัวเอง จากไม่มีอาชีพก็สามารถเลี้ยงสุกรได้อย่างช่ำชอง จากไม่มีความรู้ก็สามารถรวมตัวกันจัดตั้งให้หมู่บ้านเป็นนิติบุคคล ในนาม “บริษัท หมู่บ้านเกษตรกรรมหนองหว้า จำกัด”

ต่อมาในปี 2555 ซีพีได้ไปทำโครงการด้านการพัฒนาเกษตรกรรมให้กับชุมชนยั่งยืนให้ที่ประเทศจีน โดยทำโครงการไก่ไข่ครบวงจร 3 ล้านตัวผิงกู่-เครือซีพี ที่หมู่บ้านซีฟานเกอจวง (Xifan Gezhuang) ตำบลยู่โค (Yukou) เขตผิงกู่ (Pinggu)   เป็นโครงการไก่ไข่ครบวงจรที่ทันสมัยที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย ภายใต้ชื่อ “โครงการไก่ไข่ 3 ล้านตัวผิงกู่-เครือเจริญโภคภัณฑ์” ถือเป็นโครงการที่มีขนาดการเลี้ยงใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของเอเชียและเป็นอันดับสองของโลก มีกำลังการผลิตไข่ไก่มากถึง 54,000 ตันต่อปี  มูลค่าการลงทุนรวม 720 ล้านหยวนหรือประมาณ 3,600 ล้านบาท

มีเกษตรกรจีนได้รับประโยชน์ 1,608 ครอบครัว หรือประมาณ 5,000 คน รายได้ของเกษตรกรมาจากการให้เช่าที่ดิน หากคิดเป็นรายคนได้ค่าเช่าคนละ 400 หยวนต่อปี โบนัสจากสหกรณ์ 1,500 หยวนต่อปี และรายได้จากค่าจ้าง โดยค่าแรงขั้นต่ำในปักกิ่งอยู่ที่ 1,500 หยวน แต่โครงการนี้จ้าง 3,000 หยวน ถ้าครอบครัวไหนมีหลายคน รายได้รวมก็มากขึ้นไปอีก ทำให้โดยเฉลี่ยเกษตรกรมีรายได้เฉลี่ยประมาณ 22,000 บาทต่อราย

นอกจากนี้ยังมี โครงการเกษตรกรรมทันสมัยฉือซี พัฒนาพื้นที่ 8,000 ไร่ มณฑลเจ้อเจียง ให้เป็นเกษตรผสมผสานแบบทันสมัยครบวงจรที่อยู่ใกล้เมือง ใกล้นครเซี่ยงไฮ้ โดยให้ทุกอย่างอยู่ในจุดเดียวกัน ครบทั้งด้านพืชผักและปศุสัตว์ พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการทำการเกษตร อาทิ นำระบบจีพีเอส และคอมพิวเตอร์มาใช้ควบคุมการทำงานของเครื่องไถนา เพื่อเป็นแหล่งผลิตอาหารป้อน 100 ล้านคนรอบนครเซี่ยงไฮ้ ในเบื้องต้นมีมูลค่าโครงการ 4,000 – 5,000 ล้านหยวน หรือประมาณ 20,000 – 25,000 ล้านบาท

การดำเนินการในครั้งนี้จะนำองค์ความรู้จากที่มีประสบการณ์ในหลายประเทศกลับมาทำในประเทศไทยอีกครั้ง ซึ่งเทคโนโลยีสมัยนี้ก้าวหน้ามาก จะทำสำเร็จได้ง่ายกว่าในอดีต และทำให้รายได้ถึงมือเกษตรกรอย่างยั่งยืน