SHR ปิดโรงแรมรีสอร์ทใน-ต่างประเทศชั่วคราว หลังโควิดระบาดหนัก

SHR ปิดโรงแรมรีสอร์ทใน-ต่างประเทศชั่วคราว หลังโควิดระบาดหนัก

SHR แจ้งปิดโรงแรมและรีสอร์ทในประเทศและต่างประเทศชั่วคราว รับมือแพร่ระบาดโควิด-19 พร้อมเดินหน้าลดค่าใช้จ่าย บริหารเงินสดให้อยู่ระดับเหมาะสม รวมถึงปรับแผนการลงทุนเหมาะกับสถานการณ์

นายชัยรัตน์ ศิวะพรพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ถึงมาตรการรับมือไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ว่าเพื่อรับมือกับสถานการณ์ของโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาด บริษัทฯ จะปิดหยุดทำการโรงแรมและรีสอร์ทเป็นการชั่วคราว มีรายละเอียดดังนี้ โรงแรมในประเทศไทย ได้แก่ โรงแรมสันติบุรี เกาะสมุย,โรงแรม พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ บีช รีสอร์ท, โรงแรม เอาท์ริกเกอร์ ลากูน่า ภูเก็ต บีช รีสอร์ท และโรงแรม เอาท์ริกเกอร์ เกาะสมุย บีช รีสอร์ท จะหยุดทำการชั่วคราว ระหว่างวันที่ 1-30 เม.ย. 2563

โรงแรมและธุรกิจอื่นในประเทศมัลดีฟส์ ซึ่งรวมถึงโครงการครอสโรดส์ มัลดีฟส์ ซึ่งประกอบด้วย SAii Lagoon Maldives, Hard Rock Hotel Maldives, The Marina @ CROSSROADS, and Outrigger Konotta Maldives Resort จะหยุดทำการชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2563 โดยกำหนดเปิดทำการจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

ส่วนโรงแรมในประเทศฟิจิและประเทศมอริเชียส 3 แห่ง ได้เตรียมความพร้อมในการหยุดทำการรีสอร์ททั้ง 3 แห่งชั่วคราว เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการของหน่วยงานภาครัฐ, โรงแรมในสหราชอาณาจักร 29 แห่ง ขณะนี้ โรงแรมเกือบทั้งหมดได้หยุดทำการชั่วคราวแล้วจนถึงสิ้นเดือนเม.ย. ในช่วงที่โรงแรมหยุดทำการชั่วคราว บริษัทฯ ยังคงว่าจ้างพนักงานตามอัตรากำลังคนเดิม พร้อมทั้งแนะนำให้พักอาศัยอยู่ในบ้านและหลีกเลี่ยงการเดินทางตามคำแนะนำของรัฐบาลในแต่ละประเทศ

สำหรับสถานะทางการเงิน บริษัทฯ ตระหนักถึงความสำคัญในการบริหารกระแสเงินสดเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบัน โดยบริษัทฯ มีแผนการออกมาตรการรวมศูนย์ในการบริหารเงินสดและค่าใช้จ่ายที่ส่วนกลางและหรือรวมศูนย์เป็นกลุ่มย่อย (cluster) ตามความเหมาะสมของแต่ละภูมิภาค ทุกโรงแรมต้องวางแผนการเบิกจ่ายเฉพาะที่จำเป็น และบริษัทฯ ได้ขอความร่วมมือจากธนาคารและพันธมิตรทางธุรกิจในการลดภาระทางการเงินตามสมควร เพื่อให้การบริหารกระแสเงินสดมีประสิทธิภาพสูงสุด และอยู่ในระดับที่เหมาะสม

ส่วนแผนการลงทุนเพื่อรองรับการเติบโตทางธุรกิจทั้งในทรัพย์สินปัจจุบัน (Organic Growth) และการซื้อกิจการ (Inorganic Growth) ตามแผนงานของบริษัทฯ บริษัทฯ อาจมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และช่วงเวลาในการลงทุนให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ และการลงทุนต้องพิจารณาถึงผลตอบแทนจากการลงทุน ปัจจัยความเสี่ยงตามสภาวะวิกฤตและแผนการลดความเสี่ยง และสภาพคล่องของกระแสเงินสดของกิจการเป็นสำคัญ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของบริษัทฯ เป็นสำคัญ