'วิษณุ' โยน กรมป่าไม้ พิจารณา ปมที่ดิน 'ปารีณา'

'วิษณุ' โยน กรมป่าไม้ พิจารณา ปมที่ดิน 'ปารีณา'

"วิษณุ" โยนกรมป่าไม้พิจารณาเอง ปมที่ดิน "ปารีณา" หลังกฤษฎีกาส่งคำตอบ ยกคำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2558 เอาผิด

เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 63 นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่คณะกรรมการกฤษฎีกาสรุปความเห็นปมที่ดินของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ยังเป็นพื้นที่ป่า ว่า ยังไม่แน่ใจว่าคำตอบของคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าอย่างไรทราบเพียงว่าตอบมาแล้ว และได้แจ้งไปยังกรมป่าไม้และสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมซึ่งเป็นเจ้าของคำถาม ซึ่งเรื่องนี้ต้องให้ทางกรมป่าไม้ ไปพิจารณาเอง ว่าสุดท้ายจะสามารถปรับให้เข้ากับคดีต่างๆ ได้อย่างไร เพราะการที่ตั้งคำถามไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นคำถามที่ใช้กับในหลายๆ กรณี ไม่ใช่เฉพาะกรณีที่เป็นข่าวอยู่ในขณะนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้นคำตอบบางอย่างใช้กับกรณีที่เป็นข่าวอยู่ในปัจจุบันได้ แต่กรมป่าไม้ถามไปประมาณ 5-6 ข้อ ซึ่งบางข้ออาจจะไปใช้กับกรณีอื่นๆ ด้วย

นายวิษณุ กล่าวว่า หลักใหญ่ไม่ว่าจะเป็นคำถามกี่ข้อก็ตาม แต่สามารถสรุปหัวข้อที่กรมป่าไม้สงสัยหนักที่สุดตรงที่ว่ากรมป่าไม้ หรือสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) กันแน่ ที่จะเป็นผู้ที่มีอำนาจเข้าไปดำเนินคดี และขอย้ำอีกครั้งว่าไม่ใช่เฉพาะกรณีของ น.ส.ปารีณา ความหมายคือที่ดินที่เข้าในลักษณะดังกล่าวไม่ว่าจะอยู่ในมือใครก็ตาม กรมป่าไม้ หรือ ส.ป.ก.กันแน่ที่มีอำนาจ ตรงนี้คือคำถามหลัก ที่เหลือเป็นคำถามรอง ซึ่งคำตอบในข้อนี้คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตอบแล้วว่าเป็นอำนาจของทั้งสองฝ่าย เพียงแต่ ส.ป.ก.ไม่มีอำนาจจับ เพราะไม่ได้เป็นเจ้าพนักงาน กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจในการจับ ดังนั้นจึงจับใครไม่ได้ แต่กรมป่าไม้ มีอำนาจจับได้ โดยเฉพาะถ้าที่ดินนั้นเป็นที่ดินป่าไม้

นายวิษณุ กล่าวอีกว่า ต้องไปดูว่าแต่ละคนได้ครอบครองที่ดินมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และส.ป.ก.เข้าดำเนินการในที่ดินดังกล่าวขนาดไหนแล้ว เกณฑ์ที่คณะกรรมการกฤษฎีกาใช้ประกอบกับที่เคยมีคำพิพากษาของศาลฎีกาเมื่อปี 2558 คือที่ดินนั้นจะเปลี่ยนไปเป็นที่ดินของส.ป.ก.ก็ต่อเมื่อ 1.มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตพื้นที่ 2.คณะรัฐมนตรีจะต้องมีมติว่าที่ดินแปลงนั้นเข้าสู่กระบวนการปฏิรูป 3.ส.ป.ก.จะต้องออกแผนงานปฏิรูปสำหรับที่ดินแปลงนั้น และ 4.ได้มีงบประมาณสำหรับการเข้าไปดำเนินการปฏิรูป ซึ่งถ้าครบทั้ง 4 ข้อดังกล่าวที่ดินแปลงนั้นก็จะตกเป็นที่ดินของ ส.ป.ก. และพ้นสภาพจากการเป็นป่าสงวนทันที แต่ถ้ายังไม่ครบใน 4 ข้อดังกล่าวก็จะยังเป็นพื้นที่ป่าสงวน และเมื่อเพิกถอนการเป็นป่าสงวนก็จะกลายเป็นพื้นที่ของ ส.ป.ก.

นายวิษณุ กล่าวว่า ศาลฎีกาก็ดี คณะกรรมการกฤษฎีกาก็ดี ครั้งนี้ได้วินิจฉัยย้ำสำคัญว่า สมมติว่ามีที่ดินทั้งหมด 682 ไร่ เฉพาะแปลงที่ได้ดำเนินการครบตามคุณสมบัติ 4 ข้อ นี้เท่านั้น แปลงอื่นที่ยังไม่ได้ดำเนินการครบแม้จะคลุมเครือหรือเข้าข่ายก็ยังไม่เป็นการเพิกถอนพื้นที่ป่าสงวน หลักสำคัญมีอยู่แค่นี้ ดังนั้นกรมป่าไม้จึงต้องนำกลับไปพิจารณาว่าที่ดินของแต่ละบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าข่ายอยู่แค่ไหน ทางคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ตอบ เพราะไม่ใช่ผู้วินิจฉัยคดี

ต่อข้อถามว่าหากกรมป่าไม้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งจะต้องรื้อทั้งประเทศหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า เรื่องนี้กรมป่าไม้จะต้องเป็นผู้พิจารณาว่าจะทำอย่างไร และเมื่อวันที่ตนเชิญมาหารือ กรมป่าไม้ก็ระบุว่าในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ คือวันนี้จะเป็นวันที่ ส.ป.ก.จะเข้าไปสำรวจพื้นที่ แต่เนื่องจากคราวที่แล้ว น.ส.ปารีณาได้ทำหนังสือแจ้งว่าได้ส่งมอบที่ดินคืน แต่มีเงื่อนไขว่าถ้าหากมีการจัดที่ดินให้กับเกษตรกร ก็ขอให้น.ส.ปารีณาก่อน ซึ่งทาง ส.ป.ก.บอกว่าตั้งเงื่อนไขเช่นนี้ไม่ได้ ก็ถือว่ายังไม่ได้ส่งมอบคืน และพอแจ้งกลับไป น.ส.ปารีณาก็ทำหนังสือแจ้งกลับมาว่าขอส่งมอบให้โดยไม่มีเงื่อนไข ซึ่งก็เท่ากับว่าเป็นการส่งมอบแล้ว ส่วนจะเป็นการส่งมอบจริงหรือไม่จริง ทาง ส.ป.ก.ก็ต้องเข้าไปในพื้นที่เพื่อดูว่ามีอะไรตรงไหนอย่างไร และทำอะไร แต่ปรากฏว่าเข้าไปแล้วเจ้าตัวไม่ยอมมาชี้เขต เจ้าหน้าที่จึงเข้าไม่ได้และไม่กล้าเข้า จึงนัดใหม่ในวันเดียวกันนี้ อย่างไรก็ตามเจ้าของที่ดินจะต้องมาชี้เขตถ้าไม่มาชี้ หรือไม่มาบอก ก็เท่ากับว่ายังไม่ได้คืนที่ดิน

เมื่อถามว่าถ้าน.ส.ปารีณาไม่ไปชี้เขตจะมีปัญหาอย่างไร นายวิษณุ กล่าวว่า สามารถมอบตัวแทนไปได้ แต่ถ้าไม่ไปชี้เขตและไม่ได้มอบหมายใคร ก็มีความผิดในฐานะไม่ให้ความร่วมมือในเรื่องดังกล่าว มีความผิดตามพระราชบัญญัติ ส.ป.ก.มาตรา 47 และประมวลกฏหมายที่ดินมาตรา 9 เป็นความผิดฐานไม่ให้ความร่วมมือ ขัดขวางโดยการนำชี้หลักเขต ไม่ใช่เรื่องการบุกรุกเพราะกฎหมาย ส.ป.ก. ไม่มีโทษอาญา มีโทษฐานเดียวคือการขัดขวางเจ้าพนักงานตามมาตรา 47