ครม.ไฟเขียวโยก งบ 262 ล้าน หนุน 'ชิมช็อปใช้' กระเป๋า 2
ครม.ไฟเขียวโยกเงินชิมช็อปใช้กระเป๋า 1 ที่คงเหลือประมาณ 262 ล้านบาท หนุนใช้จ่ายผ่านกระเป๋า 2 หลังยอดใช้เพิ่มขึ้นใกล้ถึง 1.3 หมื่นล้านบาท สำนักงบฯชี้เป็นเรื่องทำได้
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (17ธ.ค.) มีมติเห็นชอบการเปลี่ยนแปลง วัตถุประสงค์การใช้งบประมาณภายใต้มาตรการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศหรือชิมช้อปใช้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยโยกงบประมาณวงเงินสิทธิในการซื้อสินค้าและบริการ จากกระเป๋าเงินภายใต้แอพพลิเคชั่นเป๋าตัง (จี–วอลเล็ต) ช่อง1ซึ่งมีเงินคงเหลือจำนวน262ล้านบาทเศษ ไปเป็นเงินชดเชยค่าสินค้าและบริการ กระเป๋าเงินช่อง2แทน เพื่อรองรับผู้ที่เติมเงินเข้าไปรับการใช้สิทธิ์ของรับการคืนเงินแคชแบ็ค15-20%
“ที่ผ่านมาการใช้เงินกระเป๋าแรก ที่ใส่เงินไป1,000บาท สำหรับผู้ใช้สิทธิในมาตรการชิมช้อปใช้เสร็จสิ้นแล้ว ใช้เงิน11,737.9ล้านบาท จากวงเงินที่ไดรับการอนุมัติ12,000ล้านบาท จึงเหลือเงินอยู่262ล้านบาท กระทรวงการคลังจึงเสนอให้โยกงบก้อนนี้มาที่กระเป๋าที่2ซึ่งมีการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น โดยตอนนี้มีคนเข้ามาใช้สิทธิ์รวมวงเงินกว่า13,000ล้านบาท”
ทั้งนี้ สำนักงบประมาณพิจารณาแล้วเสนอว่าเห็นสมควรให้เปลี่ยนแปลงงบประมาณก้อนดังกล่าวให้โยกจากกระเป๋า1มาที่กระเป๋า2แทน เพราะทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจตามมาตรการชิมช้อปใช้โดยการจ่ายเงินชดเชยค่าอาหารและเครื่องดื่ม ค่าที่พัก ค่าซื้อสินค้า รวมถึงค่าบริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวในพื้นที่ ผ่านกระเป๋า2ที่ครม.มีมติเห็นชอบให้ดำเนินมาตรการดังกล่าว3ครั้ง แต่เนื่องจากกำหนดการจ่ายเงินชดเชยให้ผู้ใช้สิทธิผ่านกระเป๋า2ตั้งแต่วันที่27ก.ย. –30พ.ย.62มีกำหนดการจ่ายเงินชดเชยภายในเดือนธ.ค.2562นี้ จึงเห็นว่าต้องเสนอให้ครม.ให้ความเห็นชอบในหลักการของการเปลี่ยนแปลง วัตถุประสงค์การใช้งบประมาณ
อย่างไรก็ดีวงเงินคงเหลือดังกล่าวเป็นวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ 2562งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น และงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉกเฉินหรือจําเป็น ปีงบประมาณ 2562ไปพลางก่อน ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์การใช้งบประมาณดังกล่าว หากจะต้องมีการโอนหรือเปลี่ยนแปลงรายการ งบประมาณรายจ่าย การขยายระยะเวลาการกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี จะต้องดําเนินการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการ งบประมาณและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไปและเมื่อสิ้นสุดโครงการแล้วก็ให้กระทรวงการคลัง ประเมินผลการดำเนินงาน ความคุ้มค่า และผลสัมฤทธิ์ของโครงการต่อไป
