ขาดปัจจัยกระตุ้น

ขาดปัจจัยกระตุ้น

คาด SET แกว่งตัว 1,610 - 1,620 จุด เนื่องจากภาวะตลาดขาดปัจจัยใหม่กระตุ้นการลงทุน

ตลาดหุ้นวานนี้

SET Index ทรุดตัวลง -11.06 จุด (-0.68%) ปิดที่ระดับ 1,615 จุด ด้วย Volume 5.2 หมื่นล้านบาท ตามทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นรอบบ้านจากความไม่แน่นอนการเจรจาการค้าสหรัฐ-จีนหลังปธน.ทรัมป์ไม่ได้ระบุถึงการยกเลิกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนนอกจากนี้ประเด็นสหรัฐจะเรียกเก็บภาษีรถยนต์นำเข้าจาก EU ก็เป็นอีกความกังวลต่อภาวะตลาดเช่นกัน ทั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นแรงขายในกลุ่ม CONS, MEDIA และ ETRON  ส่วนนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 558 ล้านบาท แต่ขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 161 ล้านบาท และ Net Short TFEX จำนวน 5,535 สัญญา

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้

เรามีมุมมองเป็นกลางคาด SET แกว่งตัว 1,610 - 1,620 จุด เนื่องจากภาวะตลาดขาดปัจจัยใหม่กระตุ้นการลงทุน โดยแม้ว่าประธานเฟดจะเผยว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัวปานกลางและตลาดแรงงานมีความแข็งแกร่ง แต่ส่งสัญญาณตึงอัตราดอกเบี้ยในช่วงนี้ นอกจากนี้ประเด็นการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนเฟสแรกที่มีความไม่แน่นอนซึ่งหากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มเติมส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและภาวะตลาดให้มีความผันผวน อย่างไรก็ตามกระแส Fund Flow ต่างชาติที่พลิกเป็น Net Buy ต่อเนื่อง 3 วันราว 3.5 พันลบ.จะช่วยหนุนให้ดัชนีสลับรีบาวด์ขึ้นได้

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • MSCI rebalance มีผล 26 พ.ย. : Global Standard เพิ่ม BGRIM, GPSC, OSP, SAWAD 

         Small Cap CENTEL, DOHOME, JMT, SPRC, STPI, TPIPP, TQM

  • Defensive stock AOT, INTUCH, ADVANC, BEM, BTS, BDMS, BCH, CHG, GPSC, TTW, CPALL

หุ้นแนะนำวันนี้

  • ADVANC (ปิด 233 ซื้อ เป้า 260 บาท) ปลอดภัยจาก Trade war, มีมุมมองเป็นบวกจากการเปิดประมูลคลื่น 5G ของภาครัฐซึ่งมีกฏเกณฑ์ที่ผ่อนคลายมากกว่าเมื่อเทียบกับประมูลคลื่น 4G อาทิ ราคาประมูลตั้งต้นที่ลดลง, Term การจ่ายเงินที่ผ่อนคลาย ทำให้ไม่กระทบ Cash flow ของผู้ประกอบการรวมถึงการจ่ายปันผลเรายังเลือก ADVANC เป็น Top pick ของกลุ่ม
  • JMT (ปิด 20.9 ซื้อ/เป้า IAA Consensus 24) แจ้งกำไรสุทธิ 3Q19 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 190 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 28%qoq และ 37%yoy แนวโน้ม 4Q19 ยังมีโอกาสทำ All time high ได้อีกจากรายได้ของการเรียกเก็บหนี้ที่เพิ่มขึ้นตามพอร์ตหรือฐานลูกหนี้ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีพอร์ตหนี้ในการบริหารทั้งหมด 1.4 แสนล้านบาท สามารถสร้างกระแสเงินสดต่อเนื่องไปได้อีกอย่างน้อย 12 ปี

บทวิเคราะห์วันนี้

BANPU (ปิด 11.6 ถือ/เป้า 12), BEC (ปิด 6.25 ถือ/เป้าใหม่ 6.3 เดิม 9.8), ERW (ปิด 5.9 ซื้อ/เป้าใหม่ 7.4 เดิม 7.2)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (+/-) ประธานเฟดส่งสัญญาณตึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 1.75% มั่นใจเศรษฐกิจสหรัฐจะค่อยๆฟื้นตัว: นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด กล่าวแถลงภาวะเศรษฐกิจต่อ คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจร่วมของสภาคองเกรส โดยส่งสัญญาณจะตึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับเดิมเอาไว้ก่อนเพราะค่อนข้างมั่นใจว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังมีความแข็งแกร่งและจะค่อยๆฟื้นตัวขึ้นในอนาคต ซึ่งสวนทางกับที่ โดนัล ทรัมป์ ออกมาเรียกร้องให้เฟดลดอัตราดอกเบี้ยและในใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยติดลบ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการส่งออกของประเทศ การแถลงการณ์ดังกล่าวไม่ได้มีผลกับตลาดมากนักเนื่องจากเป็นแถลงการณ์ที่มีข้อความคล้ายกับถ้อยแถลงในการประชุมของเฟดในช่วงที่ผ่านมา (CME Group คาดมีโอกาสสูงที่เฟดจะตึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 1.75% ไปจนถึงต้นปีหน้า)
  • (+) OPEC ยังมองบวกคาด Trade war จีนกับสหรัฐคลี่คลายจะช่วยหนุนราคาน้ำมันดิบให้ฟื้นตัว: ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 32 เซนต์ (+0.6%) ปิดที่ระดับ 57.12 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ตอบรับมุมมองของ นายโมฮัมเหม็ด บาร์คินโด เลขาธิการกลุ่มโอเปก แสดงความเชื่อมั่นว่าสหรัฐและจีนจะสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าร่วมกันได้ ซึ่งปัจจัยนี้จะเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจโลกกลับมาฟื้นตัวและผลักดันให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นในระยะกลางถึงยาว อย่างไรก็ตามเมื่อคืนที่ผ่านมาราคาน้ำมันปรับขึ้นในกรอบจำกัดเท่านั้นเนื่องจากตลาดมีการคาดการณ์กันว่าสหรัฐจะรายงานตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบออกมาเพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่ผ่านมา
  • (-) ผลกำไรบริษัทจดทะเบียน 3Q19 (70% ของตลาด) มีกำไรสุทธิรวม 2 แสนล้านบาทลดลง 6.5%qoq และ 17%yoy โดยมีธุรกิจปิโตรฯและโรงกลั่นเป็นตัวฉุด: จากการรวบรวมผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน 3Q19  ล่าสุดมีบริษัทประกาศงบออกมาแล้ว 576 บริษัทคิดเป็น 73% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด หรือ คิดเป็น 83% หากเทียบเป็น Market cap พบว่ามีกำไรสุทธิรวม 2.05 แสนล้านบาท ลดลง 6.5%qoq และ 17.1%yoy รวม 9 เดือน มีกำไรสุทธิรวม 6.53 แสนล้านบาท ลดลง 12.7%yoy หลักๆมาจากการลดลงของผลกำไรในกลุ่มธุรกิจปิโตรฯและโรงกลั่นซึ่งไตรมาสนี้มีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันดิบและสินค้าคงคลัง นอกจากนี้ยังมีอีกหลายกลุ่มธุรกิจที่ผลกำไรออกมาน่าผิดหวัง อาทิ กลุ่มอสังหาฯ, กลุ่มวัสดุก่อสร้าง, กลุ่มมีเดีย และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ผลกำไรที่อ่อนแอดังกล่าวคาดว่าจะทำให้ตลาดปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ลงอีก อย่างไรก็ตามเราคาดว่าจะส่งผลลบต่อ SET Index ไม่มากเพราะตลาดรับรู้กับปัจจัยนี้ไปบ้างแล้ว