ศาลกำหนดเงื่อนไข 'ชัยวัฒน์-พวก' ออกนอกประเทศ ให้รายงานตัว 25 พ.ย.

ศาลกำหนดเงื่อนไข 'ชัยวัฒน์-พวก' ออกนอกประเทศ ให้รายงานตัว 25 พ.ย.

ศาลกำหนดเงื่อนไข "ชัยวัฒน์-พวก" ออกนอกประเทศ ให้รายงานตัว 25 พ.ย."เมียบิลลี่" ขอบคุณดีเอสไอทำคดีนี้ แต่ยอมรับยังรู้สึกไม่ปลอดภัยเรื่องอิทธิพลมืด

เมื่อวันที่ 12 ..62 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.นครไชยศรี ภายหลังศาลกำหนดวงเงินประกันนายชัยวัฒน์ อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานจังหวัดเพชรบุรี และผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (อุบลราชธานี) กับพวกคนละ 800,000 บาทในการปล่อยชั่วคราวระหว่างฝากขังแล้ว ต่อมานายประกันและทนายความ ได้ลงชื่อในสัญญาประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 คน โดยการประกันตัวศาลกำหนดเงื่อนไขห้ามผู้ต้องหาทั้ง 4 คน เดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาลด้วย และให้ผู้ต้องหาทั้งสี่เดินทางมารายงานตัวต่อศาลในวันที่ 25 พ.ย.นี้ ซึ่งเป็นวันครงกำหนดฝากขังครั้งแรก

ขณะที่เมื่อเวลา 18.00 น. "น.ส.พิณนภา หรือมึนอ พฤกษาพรรณ" ภรรยาของนายพอละจี หรือบิลลี่ ที่ ทางมายื่นคัดค้านการให้ประกันตัวด้วยนั้น ได้กล่าวถึงความรู้สึกว่า ส่วนตัวยังรู้สึกดีที่ยังมีความยุติธรรมหลงเหลือให้พวกตนบ้าง และขอบคุณทางดีเอสไอที่ทำคดีจนนำมาสู่การแจ้งข้อหา แต่รับว่าคดีก็ยังไม่ถึงที่สิ้นสุด ตนก็ยังต้องสู้ต่อ ส่วนกรณีที่ผู้ต้องหาได้รับการประกันตัวออกมา ส่วนตัวยอมรับว่ารู้สึกไม่ปลอดภัยในเรื่องอิทธิพลมืด ประกอบกับพฤติการณ์ในลักษณะข่มขู่ อย่าง เมื่อ 3 เดือนก่อน บริเวณหน้าบ้านตน มีคนขี่รถจักรยานยนต์มาวนเวียนหน้าบ้าน และมีการถ่ายรูปไว้ และพุ่มไม้หน้าบ้านเหมือนมีคนซุ่มอยู่ ทำให้พวกตนใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวง ไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติ ซึ่งล่าสุดวันนี้ตัวเองก็มีโอกาสได้พบหน้านายชัยวัฒน์ แต่ก็ไม่ได้พูดคุยและไม่ได้รู้สึกอะไร

ทั้งนี้ ส่วนตัวไม่ได้เจาะจงว่าใครเป็นคนทำสามี แต่ก็คิดว่าเป็นเจ้าหน้ารัฐ ซึ่งก็อยากให้คนทำออกมารับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม ทางดีเอสไอได้ส่งเจ้าหน้าที่มาดูแลรักษาความปลอดภัย ตนก็รู้สึกว่าขณะนี้เพียงพอแล้ว

ด้าน "น.ส.วราภรณ์ อุทัยรังษี" อายุ 36 ปี ทนายความฝ่ายครอบครัวบิลลี่ กล่าวถึงเรื่องที่กลุ่มผู้ต้องหาได้รับการประกันตัว ว่า พวกตนก็ยอมรับในดุลยพินิจของศาล  ซึ่งยอมรับว่าจุดอ่อนที่ทำให้คำร้องขอศาลคัดค้านการประกันของพวกตนน้ำหนักไม่เพียงพอ เป็นเพราะไม่มีหลักฐานที่จะมาแสดงให้เห็นว่่ากลุ่มผู้ต้องหาจะเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ประกอบกับผู้ต้องหาเองก็ไม่ได้มีพฤติกรรมหลบหนี โดยหลังจากนี้ ยังต้องรอการรวบรวมพบานหลักฐานของดีเอสไอ ก่อนส่งอัยการพิจารณาสั่งฟ้องต่อไป