อ่อนตัวตามปัจจัยภายนอก

อ่อนตัวตามปัจจัยภายนอก

คาด SET อ่อนตัวลงทดสอบ 1,590 – 1,595 จุดก่อนจะสลับรีบาวด์

ตลาดหุ้นวานนี้

SET Index แกว่งตัวแคบปิดลบเล็กน้อย -0.34 จุด (-0.02%) ปิดที่ระดับ 1,601 จุด ด้วย Volume 6.4 หมื่นล้านบาท โดยแม้ว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ตามคาดแต่ส่งสัญญาณชะลอการลดดอกเบี้ยในช่วงถัดไปส่งผลให้ทิศทาง Fund flow ยังคงชะลอตัว ประกอบกับมีแรงขายกลุ่มพลังงานตามราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลง รวมถึงแรงขายกลุ่ม ICT ที่ราคาดีดตัวขึ้นแรงก่อนหน้านี้เป็นตัวถ่วงดัชนี ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,867 ล้านบาท แต่ซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตร 396 ล้านบาท และ Net Long TFEX จำนวน 2,891 สัญญา

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้

เรามีมุมมองเป็นลบคาด SET อ่อนตัวลงทดสอบ 1,590 – 1,595 จุดก่อนจะสลับรีบาวด์ จากความไม่แน่นอนสถานการณ์การค้าระหว่างสหรัฐ-จีนหลังเจ้าหน้าที่จีนแสดงความไม่มั่นใจเกี่ยวกับการทำข้อตกลงการค้าในระยะยาวกับสหรัฐ นอกจากนี้ตัวเลข PMI ภาคการผลิตเดือนต.ค.ของจีนที่หดตัวลงสู่ 49.3 จุดส่งผลให้มีความกังวลด้าน Demand การใช้น้ำมัน ประกอบกับกลุ่มโอเปกรายงานการผลิตน้ำมันในเดือนต.ค.เพิ่มขึ้นกดดันให้ราคาน้ำมันดิบทรุดตัวลงซึ่งเป็นลบต่อกลุ่มพลังงาน อีกทั้ง Fund flow ต่างชาติที่ยังคงไหลออกหลัง Fed ส่งสัญญาณชะลอการปรับลดดอกเบี้ยในช่วงถัดไปจะเป็นแรงกดดันต่อภาวะตลาดด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามคาดว่าจะมีแรงซื้อรายตัวดักงบ 3Q19 ช่วยพยุงดัชนีในจังหวะที่อ่อนตัวลงได้

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • หุ้นที่คาดงบ 3Q19 เติบโต GPSC, BGRIM, BCH, CHG, EPG, TASCO ,PRM, JMT, JMART, BGC ,WORK
  • กลุ่มไฟแนนซ์ MTC, SAWAD ได้ประโยชน์ต้นทุนลดลงจากทิศทางดอกเบี้ยระดับต่ำ
  • Defensive stock AOT, INTUCH, ADVANC, BEM, BTS, BDMS, BCH, CHG, GPSC, TTW, CPALL

หุ้นแนะนำวันนี้

  • BBL (ปิด 174 ซื้อ/เป้า Bloomberg consensus 212 บาท) กลุ่มธนาคารราคาหุ้นลดลงสะท้อนภาพรวมธุรกิจที่อ่อนแอไปมากแล้ว ขณะที่ Valuation เริ่มน่าสนใจ หลายหลักทรัพย์ Trade ต่ำกว่า BVPS เราเลือก BBL เป็น Top pick ของกลุ่ม เนื่องจากเน้นปล่อยสินเชื่อกลุ่มลูกค้า Corporate ทำให้มีความเสี่ยงจากปัญหา NPLs น้อยกว่าคู่แข่งที่เน้นรายย่อยและ SMEs
  • CPF (ปิด 25.25 ซื้อ/เป้า 33.5) ทยอยสะสมมองราคาหุ้นลดลงสะท้อนข่าวแพร่ระบาดของโรคอหิวาต์หมูแอฟริกาไปแล้ว ขณะที่ปัจจุบันราคาหมูในประเทศเริ่มฟื้นตัวจากระดับ 55 บาทต่อ ก.ก. เป็น 60 บาทต่อก.ก. เช่นเดียวกับราคาหมูเวียดนามที่ฟื้นตัวขึ้นกว่าเท่าตัวจากระดับ 33,000 ดองต่อ ก.ก. ขึ้นเป็น 60,000 ดองต่อก.ก. ในปัจจุบันคาดว่าจะช่วยหนุนผลประกอบการ 3Q19 และ 4Q19 ฟื้นตัว

บทวิเคราะห์วันนี้

ADVANC (ปิด 228 ซื้อ/เป้า 260), PLANB (ปิด 8.75 อัพเกรดเป็นซื้อ/เป้าใหม่ 10.5 เดิม 9.4)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (+/-) เดือน พ.ย.คงมุมมองเป็นกลางคาด SET ผันผวนในกรอบ 1,560 -1,640 จุด กลยุทธ์เน้นกลุ่ม ท่องเที่ยว และโรงพยาบาล รวมถึงกลุ่มที่ราคาร่วงแรงและเริ่มมีปัจจัยหนุน Top pick – BBL, BCH, CPF, ERW และ MINT: SET Index เดือน ลดลง 2.2% แต่พอร์ตลงทุนของเราให้ผลตอบแทน +1% ดีกว่าตลาด โดยมีหุ้น BCH ให้ผลตอบแทนดีสุด +6.3%  ขณะ ERW ให้ผลตอบแทนแย่สุดที่ -6% แนวโน้มเดือน พ.ย. คาด SET Index จะผันผวนในกรอบ 1,560 -1,640 จุด ดัชนียังขาดกลุ่มนำตลาด แม้จะมีปัจจัยบวกจาก Trade war เริ่มคลี่คลาย แต่ก็ยังถูกกดดันจากผลประกอบการ 3Q19 ของบริษัทจดทะเบียนที่ยังอ่อนแอ อีกทั้งยังมีปัจจัยลบจาก MSCI เพิ่มน้ำหนักหุ้น A- Share ของจีนเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้ (27 พ.ย.19) ทำให้ภาพรวมดัชนียังไม่ไปใหน กลยุทธ์การลงทุนเดือน พ.ย.ยังเป็น Selective buy เน้นกลุ่มธุรกิจที่ยังอยู่ในช่วง High season ในไตรมาส 4 คือ กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มที่ราคาหุ้นลดลงแรงในช่วงก่อนหน้าจน Valuation น่าสนใจ และมี Catalyst หนุนเฉพาะตัว อาทิ กลุ่มธนาคาร และ กลุ่มสินค้าเกษตร Top pick เดือน พ.ย. BBL, BCH, CPF, ERW, และ MINT
  • (-) Trade war เริ่มไม่แน่นอน หลังจากจีนและสหรัฐ ต่างให้ข่าวในทิศทางที่ขัดแย้งกัน: ตลาดยังมีความวิตกกังวลต่อการลงนามเพื่อยุติข้อพิพาทการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐจะสามารถเกิดขึ้นได้หรือไม่ แม้สหรัฐจะออกมายืนยันว่าจีนและสหรัฐจะลงนามเพื่อยุติข้อพิพาททางการค้าร่วมกันบางส่วนได้ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างหาสถานที่จัดการประชุมเพื่อทดแทนชิลีที่ประกาศยกเลิก อย่างไรก็ตามล่าสุดมีกระแสข่าวเชิงลบหลังจากมีเจ้าหน้าออกมาแสดงความไม่มั่นใจเกี่ยวกับการทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐในระยะยาว
  • (-) กลุ่มธุรกิจน้ำมัน : ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลงอีก 88 เซนต์ ลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่4 จากหลายปัจจัยลบรุมเร้า: ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 88 เซนต์ (1.6%) ปิดที่ระดับ 54.18 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จาก 1) ตลาดยังผิดหวังกับตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐซึ่งเพิ่มขึ้น 5.7 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.5 ล้านบาร์เรล, 2) กลุ่ม OPEC ทำการผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นอีก 690,000 บาร์เรลต่อวันในเดือน ก.ย.เป็น 29.59 ล้านบาร์เรล และ 3) จีนรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือน ต.ค.ลดลงสู่ระดับ 49.3 จาก 49.8 ในเดือน ก.ย. (ตัวเลขที่ยังต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ถึงภาคการผลิตที่ยังอ่อนแอ)