ส่องโซเชียลดัง ‘อินสตาแกรม’ ชิงพื้นที่สื่อสารคนเจนใหม่

การใช้งานโซเชียลมีเดียอย่าง “อินสตาแกรม” หรือ “ไอจี” ทั้งในระดับโลกและประเทศไทยได้รับความนิยมสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลโดย “เฟซบุ๊ค ประเทศไทย” เผยว่า ปัจจุบัน ทั่วโลกมีจำนวนผู้ใช้อินสตาแกรมเป็นประจำกว่า 1 พันล้านคนต่อเดือน ผู้ใช้ฟีเจอร์อินสตาแกรมสตอรี่กว่า 500 ล้านรายต่อวัน จากจำนวนดังกล่าว 80% มาจากนอกตลาดสหรัฐ ปีที่ผ่านมาวีดิโอคอนเทนท์เติบโตมากกว่า 60%

ในประเทศไทย ข้อมูล we are social ระบุว่า ไอจีมีผู้ใช้งานราว 11 ล้านคน เป็นตลาดที่มีความสำคัญกับบริษัท โดยท็อป 3 คอนเทนท์ที่คนไทยนิยมค้นหาบนอินสตาแกรมประกอบด้วย ของใช้ส่วนตัว แฟชั่น และความงาม

ปุตรี ศิลาลาฮี ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร ประจำเอเชียแปซิฟิค อินสตาแกรม กล่าวว่า พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปแล้ว จากเดิมที่นิยมบริโภคสื่อต่างๆ ผ่านพีซี วันนี้หันไปใช้อุปกรณ์มือถือ จากทีวีไปเป็นวีดิโอบนโมบาย ขณะเดียวกันชอบที่จะแบ่งปันเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตประจำวันด้วยฟีเจอร์สตอรี่(Instagram Stories) ขณะที่อิโมจิที่ได้รับความนิยมอย่างมากสามอันดับแรกประกอบด้วย Heart, Happy Face และ LOL I’m crying ตามลำดับ

ข้อมูลระบุอีกว่า ผู้ใช้งานอายุต่ำกว่า 25 ปี ใช้เวลาบนอินสตาแกรมมากกว่า 32 นาที ส่วนคนที่อายุ 25 ปีขึ้นไปใช้เวลาประมาณ 24 นาที ที่น่าสนใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อายุยังน้อยมักใช้ไอจีเป็นช่องทางสำหรับเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร จากสถิติกว่า 51% อายุระหว่าง 18-29 ปี

นอกจากนี้ การใช้ไอจีในแวดวงการข่าวเริ่มมีความแพร่หลายมากขึ้น จากที่ได้เห็นจากการใช้งานของสำนักข่าวระดับโลกหลายรายพบว่าคอนเทนท์ยอดนิยมส่วนใหญ่จะมาจากการรายงานสดบรรยากาศและเหตุการณ์ต่างๆ หากเทียบกันกับคอนเทนท์เดียวกัน ที่จะได้รับความสนใจมากกว่า คือเรื่องราวที่เจ้าของบัญชีนั้นๆ เป็นผู้ถือกล้องรายงานพร้อมมีการหันกล้องเข้าหาตัวเองไปด้วย

โดยสาเหตุเนื่องมาจากวิธีการนี้ทำให้ผู้ชมรู้สึกใกล้ชิดและมีส่วนร่วมไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทุกวันนี้ไอจีสตอรีกำลังมีบทบาทอย่างมาก โดยเฉพาะกับกลุ่มวัยรุ่นที่แต่ละวันเข้าชมมากกว่ากลุ่มคนที่เป็นผู้ใหญ่ถึง 4 เท่า

“ในหลายๆ เหตุการณ์สำหรับคนรุ่นใหม่แล้วไม่ได้สนใจถึงความมีชื่อเสียงของผู้เล่าเรื่องหรือแม้แต่ความเก่าแก่ของสำนักข่าวที่รายงาน แต่ที่ให้ความสำคัญคือคอนเทนท์ที่นำเสนอที่ต้องเป็นเรื่องราวที่พวกเขาสนใจ”

ศิลาลาฮี บอกว่า ด้วยการสื่อสารด้วยภาพ วีดิโอ และการบรรยายใต้ภาพที่ไม่ได้ยาวจนเกินไป ส่งผลทำให้ข่าวสารที่เผยแพร่บนอิสตาแกรมมีอินเตอร์แอคทีฟ สามารถเข้าถึง และสร้างการมีส่วนร่วมในคอมมูนิตี้ได้มากกว่า แน่นอนว่าบางครั้งอิทธิพลจากออนไลน์ยังสามารถสส่งผลกระทบไปถึงออฟไลน์ได้ด้วย

สำหรับคนที่ต้องการประสบความสำเร็จในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารบนอินสตาแกรม มีเคล็ดลับอยู่ 5 ประการประกอบด้วย 1.หาจุดโฟกัสที่ชัดเจน ตกผลึกให้ได้ว่าสิ่งที่จะทำให้เรื่องราวของเราโดดเด่นกว่าคนอื่นคืออะไร โดยในประเด็นนี้ต้องให้ความสำคัญตั้งแต่ การอธิบายถึงตัวตน(Bio), เรื่องราวเด่น(Highlights), และการจัดการเลย์เอาท์ในการเล่าเรื่องราว(grid) 2.อย่าคิดมากเกินไป ให้เน้นความเรียลมากกว่าความสมบูรณ์แบบ เพราะการประดิษฐ์ที่น้อยๆ อาจสร้างความสมบูรณ์แบบขึ้นมาก็ได้

ขณะที่ 3.ให้ผู้ที่รายงานข่าวเปิดหน้าของตนออกมาด้วย เนื่องจากว่าแม้ผู้คนจะเข้ามาด้วยความสนใจ ทว่าการทำให้พวกเขาอยู่กับเราในระยะยาวมักเกิดการความชื่นชอบในตัวตน 4.ใช้แฮชแท็ก เพื่อช่วยให้เรื่องราวสามารถถูกค้นหาได้ง่ายขึ้น ทว่าอย่าใช้พร่ำเพรื่อมากจนเกินไป เพียงแค่ 3-5 อันก็เพียงพอแล้ว มิเช่นนั้นจะเหมือนเป็นสแปม อีกหนึ่งเคล็ดลับให้ใช้คำที่มีความเฉพาะเจาะจงไม่กว้างเกินไป

สุดท้าย 5.ให้ใช้ประโยชน์จากทุกฟีเจอร์บนอินสตาแกรม ไม่ว่าจะเป็น “Feed” เบื้องต้นแนะนำที่ 2-3 ครั้งต่อวัน “Stories” 5-8 ครั้งต่อวัน “Live” 1 ครั้งต่อเดือน “IGTV” 1 ครั้งต่อสัปดาห์ และพึงตระหนักไว้ว่ายิ่งมีการโพสต์มากขึ้นยิ่งเพิ่มโอกาสให้ผู้ชมเห็นคอนเทนท์มากขึ้นเช่นกัน

อินสตาแกรมเผยว่า จากจำนวนผู้ใช้ไอจีสตอรี่กว่า 500 ล้านคนในแต่ละวัน สัดส่วนการรับชมประมาณ 50% เป็นวีดิโอ วีดิโอที่ถูกรับชมมากกว่า 60% มีเสียงประกอบด้วย, 1 ใน 3 ของสตอรี่ได้รับไดเร็ค แมสเสจ(ดีเอ็ม) กลับมา นับเป็นการรับชมชั่วคราวที่สนุกและทำให้เกิดการโต้ตอบมีส่วนร่วมได้ดี

สำหรับฟีเจอร์ถ่ายทอดสด มีจำนวนผู้ใช้งานเป็นประจำประมาณ 100 ล้านคนต่อวัน 70% เป็นแนวเซลฟี่ รูปแบบการใช้งานเป็นเหมือนการพูดคุยกันในคอมมูนิตี้ที่มีความสนใจร่วมกัน มากกว่าบรอดคาสต์

พร้อมระบุว่า บริษัทให้ความสำคัญอย่างมากกับการจัดการกับสแปม ขณะนี้เครื่องมือที่นำมาใช้มีทั้งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์(เอไอ) และแมชีนเลิร์นิง ทว่าอีกทางหนึ่งตัวผู้ใช้เองจำต้องตระหนักถึงการรักษาความปลอดภัยบัญชีส่วนตัว เบื้องต้นขอแนะนำให้ตั้งค่าเข้ารหัสแบบสองชั้นไว้จะช่วยได้อย่างมาก(Two-Factor Authentication)