กูรูแนะจัดพอร์ตเสี่ยงปานกลางรอการเมืองนิ่ง

กูรูแนะจัดพอร์ตเสี่ยงปานกลางรอการเมืองนิ่ง

กูรูลงทุนชี้เศรษฐกิจโลกชะลอ ขณะที่เศรษฐกิจไทยรอจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แนะจัดพอร์ตเสี่ยงปานกลาง

ในงานจับชีพจรเศรษฐกิจโลก เจาะแนวโน้มเศรษฐกิจไทย “สร้างโอกาสการลงทุน เสริมโอกาสธุรกิจ” โดยธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บนเวทีได้เปิดมุมมองผู้บริหารในตลาดทุนและธุรกิจเอสเอสเอ็มอี ถึงทิศทางการลงทุนในปีนี้อย่างไรต่อไปจากนี้ หลังเศรษฐกิจโลกยังชะลอตัว และเศรษฐกิจไทยหลังจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ รวมถึงการปรับตัวของธุรกิจเอสเอ็มอีภายใต้การเปลี่ยนแปลงต่างๆโดยเฉพาะในโลกออนไลน์เทรดดิ้ง

นายธิติ ตันติกุลานันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) มองว่า ภาพเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ สบายใจระดับหนึ่งแต่ไม่สบายใจมากนัก แม้ตลาดหุ้นกลับขึ้นมา แต่ปริมาณการซื้อขายยังไม่กลับขึ้นมา เพราะนักลงทุนระมัดระวังตัว เนื่องจากปัจจัยลบตั้งแต่ปลายปีก่อนยังคงอยู่ ทั้งปัจจัยเศรษฐกิจโลกชะลอตัวทั้งผลกระทบจากเบร็คซิททำให้ศรษฐกิจยุโรปชะตัวลงและสงครามการค้าสหรัฐและจีนที่ยังไม่ชัดเจน ทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง แม้เฟดส่งสัญญาณไม่ขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ แต่ตลาดก็มีการคาดการณ์ว่าใน ปี 2563 เฟดจะลดดอกเบี้ย หมายถึงว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือไม่

ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่งค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการท่องเที่ยวยังเติบโต ราคาสินค้าเกษตรเริ่มผ่านจุดต่ำสุด และการเลือกตั้งเมื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ชัดเจน น่าจะทำให้เกิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่อเนื่อง ส่วนปัจจัยลบยังคงมาจากการส่งออกชะลอตัวลงและค่าเงินบาทแข็งค่า

ทางด้านกลยุทธ์การลงทุน นายธิติ กล่าวว่า ทางบริษัทได้ศึกษาทิศทางการลงทุนหลังเลือกตั้งผลตอบแทนเฉลี่ยหลังการเลือกตั้งในอดีตคิดเป็นบวกทั้งการเลือกตั้ง 3 ครั้งและ 5 ครั้ง ล่าสุดสำหรับผลตอบแทนเฉลี่ย 5 ครั้งล่าสุดอยู่ที่ 3.3% ในช่วง1เดือนหลังการเลือกตั้ง

ขณะที่เราคาดการณ์ตลาดหุ้นไทยปีนี้ ระดับสูงสุด ที่ 1,750 จุด น่ายังดีกว่าปีก่อน แต่ปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่ไม่เคยจอยังคงมีอยู่ และทิศทางของโลกยังไม่ชัดเจน ทำให้ในช่วง 9 เดือนที่เหลือของปีนี้ แนะนำว่า ควรลงทุนด้วยความระมัดระวังควรเป็นการลงทุนระยะสั้น 1-2 เดือน เมื่อกำไรถึง 10% ให้ขายแล้วถือเงินสด

สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าลงทุน ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (CPALL) กลุ่มเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน(STEC) กลุ่มท่องเที่ยว (AOT) กลุ่มโรงพยาบาล ( BCH )และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ถ้าการค้าระหว่างสหรัฐและจีนมีความชัดเจนได้ ( KCE ,HANA )

“เศรษฐกิจโลกไม่แย่กว่าปีที่แล้ว มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยยังสามารถดีขึ้นได้ แต่ก็มีโอกาสที่เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว จากมีสัญญาณเศรษฐกิจมาแล้วและเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก ซึ่งเศรษฐกิจโลกเป็นปัจจัยภายนอกที่เราไม่สามารถควบคุมได้ หลังจากนี้จับตามองการชะลอตัวของเศรษฐกิจจะกระทบกำไรบริษัทลดลงและกระทบการดำเนินธุรกิจของธนาคารด้วยหรือไม่”

นายวศิน วณิชย์วรนันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยปีนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่ยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

อีกประเด็นที่น่าสนใจ คือ การเติบโตของเศรษฐกิจโลกว่าจะเติบโตแบบช้าหรือเติบโตแบบถดถอย ส่วนผลการเลือกตั้งรัฐบาลชุดใหม่ก็มีผลต่อเศรษฐกิจไทยเช่นกัน หากรัฐบาลที่จัดตั้งออกมาดีก็จะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจให้เติบโตต่อเนื่อง

ทางด้านการลงทุนในตลาดทุนนั้น จากที่สังเกตุนักลงทุนยังคงต้องระมัดระวังอยู่ ด้วยปัจจัยลบที่เข้ามาทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งนี้เห็นได้จากการฟื้นตัวของตลาดทุนในช่วงที่ผ่านมามีไม่สูงมากนัก อย่างไรก็ตามผู้จัดการกองทุนทั่วโลก ยังรอดูตัวเลขไตรมาส1และไตรมาส 2 เพื่อประเมินตลาดในปีนี้

“ตลาดหุ้นไทยปีก่อนปรับตัวลงประมาณ 9% จากตลาดมีความกังวลมากเกินไป แต่ขณะนี้เริ่มมีเงินลงทุนเดิมทยอยกลับเขามา แต่ยังไม่ได้กลับมาเท่าเดิม ผู้จัดกองทุนมองตลาดหุ้นมีทิศทางไซด์เวย์”

แนะนำลงทุนผ่านกองทุนที่มีการกระจายในหลากหลายสินทรัพย์เสี่ยง และมองการลงทุนระยะยาว จัดพอร์ตระดับปานกลาง 2 รูปแบบ คือ 1 สัดส่วนหุ้น 55% (หุ้นไทย 25% หุ้นต่างประเทศ 35%) ตราสารหนี้ 45% (ตราสารหนี้ไทย 32% ตราสารหนี้ระยะสั้น 7% ตราสารหนี้ระยะยาว 6%) ผลตอบแทนคาดหวัง 4-5.5% และ 2.สัดส่วนหุ้น 70% (หุ้นไทย 30% หุ้นต่างประเทศ 40%) ตราสารหนี้ (ตราสารหนี้ไทย 15% ตราสารหนี้ต่างประเทศ 4% ตราสารหนี้ระยะสั้น 3%) ผลตอบแทนคาดหวัง 5-7.5%

นางสาวอุมาพันธุ์ เจริญยิ่ง รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด(มหาชน) แนะนำว่า กระจายการลงทุน 3D Divide จัดพอร์ต 3 ส่วน ส่วนแรกพอร์ตคุ้มครอง เพียงพอให้หลักประกันครอบครัว ค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาล มรดกตามที่อยากจัดสรร ส่วนที่สองพอร์ตไว้ใช้จ่าย พอใช้ในปัจจุบันและในวันที่เกษียณ ส่วนที่สามพอร์ตออมและเงินทุน สร้างผลตอบแทนตามเป้าหมาย Diversify กระจายการลงทุนควาทเสี่ยงปานกลาง ผลตอบแทนคาดหวัง5.5% แบ่งสัดส่วนการลงทุนตราสารหนี้34%ตราสารหนี้ระยะสั้น 7% หุ้นต่างประเทศ 29% หุ้นในประเทศ 23% การลงทุนทางเลือก 7% และ DCA แบ่งเงิน กระจายเงินลงทุนตามความเสี่ยงแต่ละช่วงเวลา

“แนะนำต้นปี ยังถือเงินสดมากหน่อย หุ้นไทยติดตามการเมือง ส่วนหุ้นต่างประเทศยังต้องติดตามการเจรจาการค้าจีนและสหรัฐ ส่วนกองทุนอสังหาฯ ต้นปียังราคาแพง ดูจังหวะราคา”

นายสุรัตน์ ลีลาทวีวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ปัจจัยภายในประเทศปีนี้ที่ยังเป็นความเสี่ยงสำหรับธุรกิจ เอสเอ็มอี นอกจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรในตลาด และภัยแล้งจะกระทบผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ยังการเปลี่ยนแปลงเทคโนลยี ไปสู่การค้าขายออนไลน์ หรือออนไลน์เทรดดิ้งทำให้เอสเอ็มอีต้องปรับตัว

ขณะที่สถานการณ์การเมืองไทยหากตั้งรัฐบาลใหม่ได้ เชื่อว่า จะมีนโนบายเข้ามากระตุ้นกำลังซื้อและการลงทุนภาครัฐมองว่า จะส่งดีต่อเอสเอ็มอีด้วย ขณะเดียวกันสถานการณ์ดอกเบี้ยหลังจากนี้น่าทรงตัวที่ระดับปัจจุบัน ทำให้เอสเอ็มอีไม่มีภาระต้นทุนเพิ่มขึ้นดังนั้นสถานการณ์เอสเอ็มอีปีนี้น่าจะปรับตัวดีขึ้นกว่าปีก่อน และเอสเอ็มอีส่งออกไปยังตลาดภูมิภาคอาเซียนอาจจะยังเติบโตต่อได้ และต้องหันมาทำการตลาดออนไลน์

ปัจจุบัน เอสเอ็มอีมีประมาณ 2ล้านราย ในปีที่ผ่านมาจีดีพีเอสเอ็มอี เติบโต 4.75% ยังเติบโตกว่าจีดีพี และเอสเอ็มอีส่งออกคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 25% ส่วนใหญ่ค้าขายออนไลน์เทรดดิ้ง