ศุลกากรเร่งสรุปมาตรการภาษีหนุนดึงเงินต่างชาติ

หลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อ 14 ก.ย. 2564 มีมติเห็นชอบมาตรการดึงลงทุนนักลงทุนส่วนบุคคลต่างชาติ ด้วยการให้สิทธิประโยชน์ต่างๆเป็นแรงจูงใจ หนึ่งในแรงจูงใจที่ว่าคือ การให้สิทธิผู้ที่เข้ามาลงทุนได้รับส่วนลดการนำเข้าสุรา ไวน์ ซิการ์ และ ยาสูบ เป็นกรณีพิเศษ เป็นเวลา 5 ปี

รัฐบาลคาดหวังว่าแพคเกจสิทธิประโยชน์ชุดใหญ่ดังกล่าว จะดึงดูดนักลงทุนต่างขาติเข้ามาพำนัก และ ทำงานในประเทศไทย ราว 1 ล้านคน คิดเป็นเงินลงทุนเบื้องต้นประมาณ 7 แสนล้านบาท

ปัจจุบันสินค้าประเภทไวน์ สุรา และ ยาสูบ การนำเข้ามาในประเทศเพื่อจำหน่าย เพื่อบริโภค จะมีความแตกต่างกัน โดยอัตราภาษีนำเข้าจะอยู่ที่ไม่เกิน 60% ขณะที่ จะยกเว้นภาษีนำเข้าสุรา ไวน์ และ ยาสูบ ให้สำหรับผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศ ทั้งคนไทยและต่างชาติ ดังนี้ สุรา และ ไวน์ ทุกประเภท ได้ไม่เกิน คนละ 1 ลิตร ยาสูบได้ไม่เกินคนละ 200 มวน หรือ 10 ซอง (1แคทตอน) หากเกินกว่านั้น จะต้องชำระภาษีอากรนำเข้า และจะต้องเสียภาษีสรรพสามิตด้วย หากกรมสรรพสามิตตีความว่า นำเข้ามาเพื่อการจัดจำหน่าย

นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศูลกากรเปิดเผยว่า หลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติในเรื่องดังกล่าว กรมฯจะเร่งพิจารณามาตรการทางภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าดังกล่าว เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของคณะรัฐมนตรี โดยปัจจุบัน อัตราภาษีศุลกากรที่เก็บจากการนำเข้าสินค้าดังกล่าวจะอยู่ระหว่าง 30-60%ของราคาที่ผู้นำเข้าสำแดง

แหล่งข่าวจากกรมศุลกากรกล่าวว่า อัตราภาษีนำเข้าสินค้าในทุกรายการเป็นส่วนหนึ่งของอัตราภาษีที่เก็บจากสินค้านำเข้าดังกล่าวเท่านั้น โดยสินค้านำเข้าจะต้องถูกจัดเก็บภาษีบนฐานการบริโภค ซึ่งก็ถือภาษีสรรพสามิต โดยกรมสรรพสามิตจะเก็บภาษีบนฐานราคาขายปลีกหลังจากที่สินค้าได้ถูกนำเข้ามาแล้ว นอกจากนี้ ยังมีภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้เข้าจะถูกจัดเก็บบนฐานราคาที่สำแดงด้วย

ดังนั้น สินค้านำเข้าที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจะถูกเก็บภาษีทั้งจากกรมศุลกากร กรมสรรพสามิต และยังต้องถูกเก็บภาษีจากกรมสรรพากรด้วย ทั้งนี้ ในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้าบาปนั้น จะมีอัตราภาษีอื่นๆแฝงอยู่ด้วย เช่น อัตราภาษีมหาดไทย และภาษีที่จัดเก็บเป็นการเฉพาะสำหรับสสส.และไทยพีบีเอส