‘ก้าวไกล’ ชี้ 'ควบคุมฝูงชน' สลายม็อบ ไม่เป็นสากล

‘ก้าวไกล’ ชี้ 'ควบคุมฝูงชน' สลายม็อบ ไม่เป็นสากล

‘โฆษกก้าวไกล’ เชื่อ การชุมนุมยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง แม้จะเกิดความรุนแรงก็ตาม ติง ตำรวจ ใช้อาวุธยุทธโปกรณ์ สลายม็อบ ไม่เป็นไปตามหลักสากล

 14 ส.ค. 64 ที่ทำการพรรคก้าวไกล นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึง กรณีการชุมนุมที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ว่า ต้องเข้าใจว่าเป็นการชุมนุมในช่วงวิกฤตโรคระบาด เชื่อว่ามีหลายคนที่เห็นด้วยมากกว่านี้ แต่ไม่สามารถแสดงตนออกมาร่วมชุมนุมได้ สำหรับคนที่ออกมาก็คือตัวแทนของผู้ได้รับผลกระทบ สิ่งที่อยากเรียกร้องไปยังเจ้าหน้าที่ชุดควบคุมฝูงชน ผู้บังคับบัญชาในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือผู้บังคับบัญชาในระดับสูงขึ้นไปคือ อยากให้เข้าใจถึงความอัดอั้นของพี่น้องประชาชนด้วย

ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดที่คร่าชีวิตคนในครอบครัวของเขา เพื่อนร่วมงานของเขา เพื่อนสนิทของเขา ทำให้เขาต้องมาเรียกร้องเพราะมันไม่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นผ่านการบริหารราชการแผ่นดินเลยในวิกฤตแบบนี้ ไม่มียารักษาให้ ไม่มีเตียง ไม่มีวัคซีน กลับกันแต่ละวันมีแต่ภาพข่าวกลุ่มวีไอพีได้เข็มสามบ้าง มีจังหวัดวีไอพีที่ได้รับวัคซีนก่อนเพื่อนบ้าง ซึ่งคนที่ออกมาบางคนยังรอวัคซีนเข็มแรกอยู่เลย บางคนยังถามหาแค่เตียงสนาม ในขณะที่กลุ่มวีไอพีที่ยังไม่มีอาการอะไรก็เข้านอนรักษาในโรงพยาบาล มีภาพอุปกรณ์ครบครันตั้งอยู่ข้างๆเพียงเพื่อความสบายใจเท่านั้น ความอัดอั้นเหล่านี้จึงทำให้เขาออกมาตัดสินใจสู้ตาย

นายณัฐชา กล่าวว่า จากเดิมที่เยาวชนคนหนุ่มสาวมีข้อเรียกร้องไม่กี่ข้อที่รัฐบาลช่วยเหลือเขาได้แต่กลับไม่ทำ จนกลายเป็นทำให้เขาต้องออกมาสู้ตายเพื่อหาทางรอด รัฐบาลไม่มองตรงนี้กลับใช้ความรุนแรงเข้าจัดการ ซึ่งประวัติศาสตร์ก็มีบทเรียนอยู่แล้วว่า อาวุธยุทโธปกรณ์ไม่อาจกดความรู้สึกนึกคิดประชาชนได้ แต่รัฐบาลก็ยังเลือกใช้การบังคับขู่เข็น อนุมัติให้ใช้อาวุธคุมฝูงชนโดยไม่ใช่หลักสากล แต่เป็นหลักสาแก่ใจ แค่ลงรถเมล์ก็ยิงใส่เขาแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าเขามาเพื่ออะไร ยังไม่มีการเจรจาพูดคุยก็แต่ปักหลักแล้วว่าทุกการชุมนุมไม่ให้เกิด ไม่ให้ขยับเขยื่อน เอาสิ่งของเอาอาวุธมายุติ

ภาพที่ออกมาคือความพยายามสร้างความรุนแรงให้กลายเป็นความคุ้นชินต่อประชาชนทางบ้านและบอกว่าจะยุติความวุ่นวายได้ด้วยการทำแบบนี้ ซึ่งตนคิดว่าไม่เป็นความจริงและมีแต่จะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งเป็นการพิสูจน์ว่าผู้นำประเทศไม่เคยมองเห็นและรับรู้ถึงความรู้สึกทุกข์ร้อนของประชาชนเลย เชื่อว่าไม่ว่าจะใช้รุนแรงแค่ไหน การชุมนุมก็ยังขับเคลื่อนและเดินต่อ เพราะการชุมนุมครั้งนี้คือการหาทางรอดจากความตายจึงไม่มีอะไรจะไปกีดขวางปิดกั้นเขาได้