8 ประเด็นน่ารู้ เมื่อ 'หยวน' ถูกพัฒนาเป็นเงินดิจิทัล
8 ประเด็นน่ารู้ โครงการพัฒนาเงินดิจิทัลของจีน ความแตกต่างระหว่างเงินหยวนกับเงินหยวนดิจทัล รวมถึงขอบข่ายและโอกาสที่ถูกนำไปใช้นอกจีน ขณะเดียวกันหากมีการใช้แพร่หลาย จะกระทบต่อบทบาทของเงินดอลลาร์หรือไม่ อย่างไร?
โครงการพัฒนาเงินดิจิทัลของจีน มักถูกมองว่าเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ทางการจีนจะใช้เป็นเครื่องมือในการการลดอิทธิพลของเงินดอลลาร์ฯ ขณะที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่หนุนนำระบบการชำระเงินแบบ Contactless เป็นปัจจัยเร่งการปรับตัวของผู้ที่เกี่ยวข้องและหนุนให้เกิดการยอมรับการใช้เงินดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งกระแสการตื่นตัวดังกล่าวอาจช่วยผลักดันระบบนิเวศของเงินดิจิทัลให้พัฒนาอย่างรวดเร็วและเริ่มเข้ามาแทนบทบาทของระบบการเงินเดิมในไม่ช้า
ทั้งนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รวบรวมประเด็นน่ารู้ที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการพัฒนาเงินดิจิทัลของจีนและประเด็นเกี่ยวเนื่องที่น่าสนใจ ดังนี้
Q : เงินหยวนดิจิทัล DCEP แตกต่างจากเงินหยวนปกติอย่างไร
A : ไม่แตกต่าง เนื่องจาก DCEP เป็นเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางทำให้เงินดังกล่าวถูกหนุนหลังด้วยทุนสำรองเงินตราเช่นเดียวกับเงินหยวนและเป็นสื่อกลางในการชำระหนี้ได้ตามกฎหมายของประเทศจีน ซึ่งธนาคารจีนได้มีการออก DCEP ทดแทนปริมาณการออกเงินหยวนสำหรับการใช้จ่ายในประเทศของประชาชนจีนทำให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจจีนไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากการออก DCEP
ทั้งนี้ จุดเด่นสำคัญของ DCEP เทียบกับเงินหยวนคือความสามารถที่ธนาคารกลางจีนตรวจสอบเส้นทางของการใช้ DCEP อันเป็นการช่วยลดความเสี่ยงจากอาชญากรรมทางการเงิน การหลีกเลี่ยงภาษี รวมทั้งคุณสมบัติของ DCEP ที่สามารถเชื่อมต่อบริการทางการเงินอื่นๆ ผ่านระบบอัตโนมัติอันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดข้อผิดพลาดของการทำธุรกรรม
Q : ขอบเขตการใข้ DCEP
A : ในปัจจุบัน DCEP เริ่มทดลองใช้อย่างจำกัดใน 4 เมืองสำคัญของจีน ได้แก่ ซูโจว เซินเจิ้น สงอัน และเฉิงตู ขณะที่ ทางการจีนตั้งเป้าหมายที่จะผลักดันให้ DCEP สามารถใช้จ่ายทั่วประเทศภายในปี 2022 โดยได้รับแรงหนุนจากกระแสการใช้จ่ายเงินแบบ Contactless ที่น่าจะได้รับความนิยมจากการระบาดของโควิด-19 อันเป็นปัจจัยเร่งให้ผู้ประกอบการในจีนเร่งปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการใช้งาน DCEP และเพิ่มความสะดวกผ่านระบบการชำระเงินผ่าน DCEP ที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยสัญญาณอินเตอร์เน็ต
Q : มีโอกาสไหมที่ DCEP จะสามารถใช้นอกประเทศจีน
A: ในอนาคต DCEP อาจสามารถที่จะใช้นอกประเทศได้ขึ้นอยู่กับนโยบายของธนาคารกลางจีนและธนาคารกลางประเทศปลายทาง แต่การใช้คงเกิดขึ้นอย่างจำกัดและถูกใช้อย่างไม่เป็นทางการในบางประเทศโดยเฉพาะประเทศที่มีการพึ่งพิงจีนในระดับสูง อาทิ ประเทศที่มีศักยภาพในการหาเงินตราต่างประเทศต่ำและต้องพึ่งพาจีนในสัดส่วนสูงอาจยอมให้มีการใช้ DCEP ควบคู่กับการใช้เงินสกุลท้องถิ่น
อย่างไรก็ดี การใช้ DCEP ในต่างประเทศอาจไม่ได้รับการตอบรับที่ดีนัก เนื่องจากหลายๆ ประเทศยังคงมีความกังวลต่อประเด็นความมั่นคงและผลต่อนโยบายการเงินจากการเปิดรับ DCEP นอกจากนี้ ข้อจำกัดด้านแลกเปลี่ยนอย่างเสรี การเคลื่อนย้ายเงินทุน ตลอดจนความท้าทายในการดูแลสภาพคล่องของ DCEP นอกประเทศจีน
Q: ในแง่ของการเมืองระหว่างประเทศ การเกิดขึ้นของ DCEP มีนัยอะไร
A: การเกิดขึ้นของ DCEP อาจเป็นการส่งสัญญาณของทางการจีนในการวางตำแหน่งของจีนให้เป็นหนึ่งในผู้นำด้านเศรษฐกิจดิจิทัลผ่านการสร้างต้นแบบของการพัฒนาระบบนิเวศของเงินดิจิทัล อันเป็นการหยั่งเชิงกระแสตอบรับอิทธิพลจีนในตลาดการเงินโลก นอกจากนี้ การพัฒนาเงินดิจิทัลนั้นจะมาควบคู่กับระบบการชำระเงินดิจิทัลซึ่งอาจเป็นกลไกสำรองในการรองรับการชำระราคาระหว่างประเทศของจีนกับประเทศคู่ค้าที่มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับจีน หากปัจจัยเสี่ยงด้านการเมืองระหว่างประเทศมีทิศทางเลวร้ายลงในอนาคต
Q: DCEP มีความเหมือนหรือแตกต่างจากเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) อื่นๆ หรือไม่
A: DCEP เป็นหนึ่งในรูปแบบของเงินดิจิทัลของธนาคารกลางเพื่อใช้ในการชำระเงินโดยทั่วไปในประเทศ (Retail CBDC) ขณะที่เงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) ยังมีอีกรูปแบบคือ เงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางในการชำระเงินระหว่างธนาคาร (Wholesale CBDC) ทั้งนี้ ในปัจจุบันธนาคารกลางหลายๆ แห่งอยู่ระหว่างการทดลอง โครงการ W-CBDC อาทิ ธนาคารกลางแคนาดา (Project Jesper) ธนาคารกลางยุโรปร่วมกับธนาคารกลางญี่ปุ่น(Project Stella) ธนาคารกลางฮ่องกง (Project Lionrock) ธนาคารกลางสิงคโปร์ (Project Ubin) รวมทั้ง ธนาคารแห่งประเทศไทย (Project Inthanon) ขณะที่จีนอยู่ในการเตรียมโครงการเงินดิจิทัลรูปแบบ Stablecoin เพื่อใช้ในการชำระราคาระหว่างประเทศด้วยเช่นกัน
A: การใช้ CBDC อาจสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญต่อระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประสิทธิภาพของระบบการขำระเงินใหม่ โดยการชำระราคาที่มีผลสมบูรณ์ในทันที อีกทั้งระบบการชำระเงินดังกล่าวอาจสามารถเชื่อมต่อกับกิจกรรมต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจโดยอัตโนมัติ อันช่วยลดต้นทุนและข้อผิดพลาดในการทำธุรกรรมได้มากเทียบกับระบบการชำระเงินแบบเดิม ขณะที่ในอนาคตระบบการชำระเงินดังกล่าวอาจจะทยอยเข้ามาแทนที่ระบบ SWIFT รวมทั้ง ระบบธนาคารตัวแทน
A: การใช้ CBDC โดยตัวมันเองไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อบทบาทของเงินดอลลาร์ฯ แต่อย่างใด อย่างไรก็ดี ระบบการชำระเงินระหว่างประเทศผ่าน CBDC ที่มีประสิทธิภาพสูง และความสามารถของระบบการชำระเงินที่สามารถทำธุรกรรมได้ตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยลดความต้องการสภาพคล่องที่ต้องอาศัยเงินตราสกุลหลักระหว่างประเทศ อาทิ ดอลลาร์ฯ ที่มีความมั่นคงสูงในการบริหารความเสี่ยงของระบบการชำระเงินระหว่างรอการส่งมอบ อันเป็นการลดบทบาทของเงินดอลลาร์ฯ ในทางอ้อม
A: โครงการ Libra 2.0 นั้นเป็นการสร้างเงินดิจิทัลที่ออกโดยภาคเอกชน โดยมีเป้าหมายในการเป็นสกุลเงินดิจิทัลระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ประเด็นที่โครงการ Libra คล้ายกับ CBDC อาจได้แก่ การใช้สินทรัพย์หนุนหลังที่มีความน่าเชื่อถือสูง เพื่อลดความผันผวนของค่าเงิน โดยเงิน Libra จะมีมูลค่าเท่ากันกับตะกร้าของเงินหนุนหลัง ขณะที่จุดแตกต่างสำคัญมีดังนี้ ประการแรก CBDC นั้นมีกฎหมายรองรับ
ที่มา : kasikornresearch