เจาะอินไซต์ 'นักลงทุนไทย' วัยไหนๆ ก็รักการเสี่ยง

เจาะอินไซต์ 'นักลงทุนไทย' วัยไหนๆ ก็รักการเสี่ยง

เปิดพฤติกรรมนักลงทุนไทย ข้อมูลชี้ ทุกเจนเน้นลงทุนระยะสั้น กระจายความเสี่ยงต่ำ

ในการศึกษาข้อมูล Big Data ผู้ถือหน่วยกองทุนรวม ส่วนที่จะกล่าวถึง คือ พฤติกรรมการลงทุน  เพื่อส่งเสริมให้ผู้ลงทุนในแต่ละ Generation สามารถลงทุนอย่างเหมาะสมตามช่วงวัย

ในส่วนแรก คือ มุมมองของการเลือกนโยบายการลงทุน เนื่องจากกองทุนรวมมีนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย มีความแตกต่างกันในด้านผลตอบแทนและความเสี่ยง ในภาพรวมพบว่าผู้ลงทุนมีการลงทุนสอดคล้องตามช่วงวัย (รูปที่ 1)

158160105619

โดยกลุ่ม Baby Boomer และ Post War เน้นลงทุนในตราสารหนี้ ขณะที่กลุ่ม Generation X และ Y เน้นลงทุนในตราสารทุน หากมองในภาพรวมอาจดูเหมือนว่าผู้ลงทุนมีการกระจายการลงทุนที่ดี

แต่เมื่อเจาะลึกรายละเอียดในมุมมองด้านการกระจายการลงทุน พบว่าในปี 2018 ผู้ลงทุนเกินครึ่งหนึ่งยังไม่มีการกระจายการลงทุน (รูปที่ 2)

158160124018

ซึ่งส่วนมากเป็นการลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนหรือตราสารหนี้หลายกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนเดียวกัน และเมื่อเราทำการดูต่อในระดับ Generation แล้ว ก็จะเห็นได้ว่ากลุ่ม Generation Y มีการกระจายการลงทุนในหลายนโยบายที่ต่ำมาก เช่น ผู้ลงทุนคนหนึ่งถือกองทุนรวมอยู่ 5 กอง แต่ทั้ง 5 กองนี้มีนโยบายการลงทุนที่เหมือนกัน หรือเปรียบเสมือนลงทุนในกองทุนรวมประเภทเดียวกัน 5 กอง ดังนั้น ความสำคัญของการผลักดันให้ผู้ลงทุนมีการลงทุนในกองทุนรวมที่หลากหลายทั้งในหลักทรัพย์ไทยและต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยงจะเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก จึงเป็นโอกาสในการส่งเสริมบริการด้านการให้คำแนะนำและวางแผนทางการเงินที่มีคุณภาพ เพื่อช่วยให้ผู้ลงทุนจัดพอร์ตการลงทุนเพื่อกระจายการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับเป้าหมายในระยะยาว

ในมุมมองเกี่ยวกับพฤติกรรมต่อมา คือ มุมมองด้านระยะเวลาในการลงทุน โดยจะพิจารณาว่าผู้ลงทุนมีการลงทุนระยะยาวกันหรือไม่ โดยดูว่าเมื่อผู้ลงทุนเข้ามาลงทุนในกองทุนรวมแล้ว ในปีต่อ ๆ มาจะยังมีการลงทุนอยู่หรือไม่ จากข้อมูล (รูปที่ 3)

158160126347

ผู้ลงทุนรายใหม่ที่เข้ามาปี 2015 ณ สิ้นปีต่อมานั้น 78% จะยังมีมูลค่าการลงทุนในกองทุนรวมอยู่ ผ่านไปสองปีเหลือ 67% และเมื่อผ่านไปสามปีจะเหลืออยู่ 60% และได้ทำแบบเดียวกันนี้กับผู้ลงทุนใหม่ในปี 2016 และ 2017 เช่นกัน ซึ่งผลที่ได้ไม่แตกต่างกันมาก ต่อมา ได้ดูพฤติกรรมนี้ในระดับ Generation ในภาพรวมทุกกองทุนพบว่าผู้ลงทุนใหม่กลุ่ม Generation X  และ Y มีสัดส่วนผู้ลงทุนที่ลงทุนระยะยาวสูงกว่าค่าเฉลี่ย (รูปที่ 4)

158160128250

แต่ถ้าพิจารณาเฉพาะกองทุนตราสารทุนพบว่า Generation X และ Y มีสัดส่วนการถือครองกองทุนรวมระยะยาวค่อนข้างน้อย จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดต่อว่าจะทำอย่างไรเพื่อช่วยให้ผู้ลงทุนที่เข้ามาลงทุนแล้ว มีการลงทุนระยะยาวมากขึ้น

กล่าวโดยสรุป พฤติกรรมในภาพรวมข้อมูลสะท้อนให้เห็นว่า แต่ละ Generation มีการลงทุนที่ค่อนข้างสอดคล้องตามช่วงวัย อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาในรายละเอียดของผู้ลงทุนแต่ละรายพบว่า ผู้ลงทุนส่วนมากยังลงทุนเพียงนโยบายการลงทุนประเภทเดียว และยังไม่เน้นลงทุนระยะยาว ดังนั้น จากผลการศึกษานี้ นำไปสู่นัยเชิงนโยบายที่สำคัญ ดังนี้

1.Generation Z ยังมีการลงทุนที่ไม่สอดคล้องกับวัย ดังนั้นจึงควรส่งเสริมความรู้ด้านการลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย เช่น ส่งเสริมความรู้การวางแผนทางการเงิน (Personal Finance) รวมทั้งสนับสนุนการลงทุนผ่านกองทุนรวม

2.Generation Y เป็นกลุ่มที่ให้ความสนใจในการลงทุน เนื่องจากมีการเข้ามาลงทุนเร็ว แต่ยังถือกองทุนตราสารทุนในช่วงระยะเวลาที่สั้น ประกอบกับยังมีการกระจายการลงทุนผ่านกองทุนรวมที่น้อย ดังนั้นจึงควรมีการวางแผนทางการเงิน โดยควรได้รับบริการด้าน Wealth Advice เพื่อให้ความรู้และคำแนะนำไปสู่การจัดพอร์ตเพื่อให้มีการกระจายการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับเป้าหมายในระยะยาว

3.Generation X ลงทุนสอดคล้องกับช่วงวัย แต่ยังมีการกระจายการลงทุนผ่านกองทุนรวมไม่มาก ซึ่งเป็นกลุ่มที่ควรรับบริการ Wealth Advice เพื่อช่วยให้ความรู้และคำแนะนำไปสู่การจัดพอร์ต พร้อมทั้งการวางแผนการลงทุนรองรับการเกษียณผ่าน Post-retirement products

4.Baby Boomer และ Post War เป็นกลุ่มที่มีมูลค่าการลงทุนในกองทุนรวมสูง ลงทุนเหมาะกับช่วงวัย แต่พบว่าเริ่มมีการนำเงินลงทุนออกเนื่องจากเข้าสู่วัยเกษียณ ดังนั้น การพัฒนา Post-retirement products รองรับผู้ลงทุนกลุ่มนี้จะเป็นการสนับสนุนให้คงเงินลงทุนผ่านตลาดทุน และช่วยป้องกันการนำเงินไปลงทุนนอกระบบซึ่งมีความเสี่ยงที่จะถูกหลอกได้

 

ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์