"วิระชัย" นำทีมลุยจับโรงงานขยะอิเล็กทรอนิกส์เถื่อน พื้นที่กว่า 100 ไร่ พบขยะอิเล็กทรอนิกส์ จำนวนมาก
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 22 พฤษภาคม พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. ในฐานะโฆษก ตร. นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่จากกรมโรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กรมควบคุมมลพิษและหน่าวยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจค้นโรงงานกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา หลังได้รับคำสั่งจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการร่วมรักษาความปลอดภัย ซึ่งสั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้ากวาดล้างนายทุนต่างชาติ ที่ลักลอบนำเข้ากากอุตสาหกรรม โดยไม่ได้รับอนุญาตให้คัดแยกสามารถทำลายได้ในประเทศอื่น มาเผาทำลายกระจายสารพิษไปทั่วพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา
การปฏิบัติการครั้งนี้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นเป็น บริษัท ดับบลิว เอ็ม ดี ไทย รีไซคลิ้ง จำกัด (สำนักงานใหญ่) เลขที่ 33 ม.12 ต.แปลงยาว อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา พื้นที่ตัวโรงงานมีขนาดประมาณ 4 ไร่ และพื้นที่โดยรอบตัวโรงงานรวมแล้วประมาณ 100 ไร่ นอกจากนั้นยังมีบริษัทลูกในเครืออีก 2 บริษัท จากการเข้าตรวจค้นพบว่า โรงงานยังเปิดทำการปกติ พบขยะอิเล็กทรอนิกส์ จำนวนมาก กองพะเนินเป็นภูเขาเลากา อาทิ คีย์บอร์ด สายไฟ พัดลม CPU คอมพิวเตอร์ แผ่นดิส ฯลฯ ถูกนำมาคัดแยก ชำแหละ แปรรูป ก่อนจัดสรรปันส่วน ส่วนขยะที่ใช้ไม่ได้จะถูกกำจัดด้วยการเผา ฝังกลบ และวิธีอื่นๆส่งผลต่อมลภาวะและสิ่งแวดล้อม
พล.ต.อ.วิระชัย เปิดเผยว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้มอบหมายให้ตนและ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบช.ทท. นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่อีก 5 กระทรวง ประกอบด้วย
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงยุติธรรม และ กระทรวงการคลัง เข้ากวาดล้างจับกุมดำเนินคดีกับโรงงานดังกล่าว เนื่องจากสืบทราบว่า โรงงานแห่งนี้มีการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างผิดกฎหมาย มีการนำเข้าขยะด้วยการสำแดงเท็จ โดยมีเจ้าของเป็นชาวต่างชาติชาวฮ่องกง ที่ประกอบกิจการอย่างผิดกฎหมายลักลอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งขยะเหล่านี้ถือว่ามีอันตราย มีสารพิษ โดยในหลายๆประเทศทั่วโลกห้ามมิให้มีการคัดแยก มีกฎหมายไม่อนุญาตให้ทำการคัดแยก หรือทำลายขยะเหล่านี้ในประเทศของตน เนื่องจากจะทำให้สารพิษเข้าสู่สภาพแวดล้อม เช่น ทางอากาศ เป็นอันตรายต่อผู้ที่สูดหายใจเข้าไป จะก่อให้เกิดโรคร้ายที่ไม่สามารถรักษาได้ในภายหลัง
พล.ต.อ.วิระชัย กล่าวอีกว่า คำว่าการคัดแยกขยะพิษ หมายถึงการแยกส่วนประกอบของขยะนั้นออกจากกัน เช่น แผงวงจรประกอบด้วย ไอซีและแผ่นพลาสติก ซึ่งถูกเชื่อมเข้าด้วยกันด้วยตะกั่ว ในขั้นตอนการคัดแยกแผ่นพลาสติกเหล่านี้จะถูกนำไปปิ้งบนเตาย่าง เพื่อให้ตะกั่วละลาย และสามารถแยกเอาวัสดุต่างชนิดกันออกจากกัน ตะกั่วที่หลอมละลายจะเข้าไปในสิ่งแวดล้อม ส่วนแผ่นพลาสติกแข็งที่ใช้ทำบอร์ด ก็เป็นขยะพิษที่ไม่สามารถเผาทำลายได้ หากนำไปฝังกลบก็ใช้เวลาหลายร้อยล้านปี กว่าจะย่อยสลาย ต้องเข้าสู่กระบวนการทำลายโดยเฉพาะเท่านั้น
“ตอนนี้ประเทศไทยเป็นลำดับต้นๆที่มีขยะอิเล็กทรอนิกส์ เพราะมีนายทุนต่างชาติลักลอบนำเข้ามา สำแดงเท็จเป็นสินค้ามือสอง โดยเฉพาะบรรดาเครื่องใช้ไฟฟ้า ทุกประเทศทั่วโลกให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพราะมีสารพิษส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และมีผลต่อชีวิตคนโดยตรง ขระเดียวกันยังสืบทราบว่าที่ฮ่องกงมีขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่รอการกระจายออกไปสู่ประเทศต่างๆนับแสนตัน เมื่อเอาเข้ามาในไทยจึงถือว่านำสารพิษมากระจายเพื่อคร่าชีวิตพี่น้องคนไทย จึงต้องมีการกวดล้างขยายผลเปิดโปงธุรกิจที่มีสารพิษร้ายจำพวกนี้” พล.ต.อ.วิระชัย กล่าว
พล.ต.อ.วิระชัย กล่าวต่อว่า จากการตรวจค้นพบมีการนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือ กากอุตสาหกรรมอันตรายจากต่างประเทศมาทำการรีไซเคิล หรือหลอมเอาตะกั่วออก เพื่อแยกชิ้นส่วนออก และโรงงานไม่ขออนุญาตอย่างถูกต้อง สภาพแวดล้อมโรงงานไม่มีระบบป้องกันก๊าซอันตราย ไม่มีระบบป้องกันกลิ่น ไม่มีระบบป้องกันน้ำเสีย และไม่มีระบบกรองกลางแจ้ง เมื่อฝนตกน้ำที่มีสารพิษปนเปื้อนก็ไหลไปรวมกับแหล่งน้ำสาธารณะ กระทบสิ่งแวดล้อม โดยพบว่ามีแรงงานต่างด้าวผิดกฏหมายส่วนหนึ่ง ส่วนเจ้าของเป็นชาวฮ่องกง ไม่ได้อาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่ใช้ประเทศไทยเป็นแหล่งซับมลพิษ โกยเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง จึงเตรียมขยายผลเอาผิดเพิ่มเติม พร้อมกันนี้ประสานให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้พิจารณาสั่งปิดโรงงานภายในวันนี้(22 พ.ค.)เป็นเวลาอย่างน้อย 30 วัน
ทั้งนี้ขณเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นจับกุมโรงงานขยะอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าว พบมีแรงงานต่างด้าวจำนวนมาก สัญชาติลาวกับเมียนมา กำลังทำการคัดแยกขยะอิเล็กทรอนิกส์ จากการสอบถามทราบว่าแรงงานต่างด้าวดังกล่าวได้รับค่าจ้างเดือนละ 9 พันบาท ซึ่งมีการเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายด้วย และแต่ละคนไม่มีความรู้เรื่องขยะพิษและไม่รู้ว่าตนเองกำลังจะเป็นโรคร้ายภายในอนาคต
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งความผิด 3 ข้อหา ประกอบด้วย ความผิดตาม 1. พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 ม.23 ข้อหา นำมาซึ่งวัตถุอันตรายชนิดที่3(ขยะอิเล็กทรอนิกส์)โดยไม่ได้รับอนุญาต อัตราโทษ ตาม ม.73 จำคุกไม่เกิน2ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ 2. พ.ร.บ.สาธารณสุข ม.25-28/1 ข้อหา ก่อเหตุเดือดร้อนรำคาญแกชุมชน อัตราโทษตาม ม.74 จำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 25,000 บาท และ 3. พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ.2535 ม.13 ข้อหา ประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต อัตราโทษ ปรับไม่เกิน 20,000 บาท ส่วนการกรองวัตถุอันตรายกลางแจ้งอันเป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานและวิธีการควบคุมการปล่อยของเสีย มลพิษหรือสิ่งใดๆ อันมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ที่เกิดขึ้นจากการประกอบกิจการของโรงงาน เป็นความผิดตามมาตรา 8(5) แห่ง พ.ร.บ.โรงงานฯ อัตราโทษปรับไม่เกิน 2 แสนบาท นอกจากนี้ยังมีการให้คนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และข้อหาอื่นๆด้วย