'พระเมรุมาศ' สถาปัตยกรรมที่คนไทยไม่อยากเห็น
พื้นที่ท้องสนามหลวงในห้วงเวลานี้ เต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างสถาปัตยกรรมชั่วคราว เพื่อใช้ในการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระมหากษัตริย์ อย่าง “พระเมรุมาศ” สถาปัตยกรรมที่ไม่มีคนไทยคนไหนอยากเห็น เพราะนั่นหมายถึงการสูญเสียพระเจ้าแผ่นดินอันเป็นที่รัก
“พระเมรุมาศ” เป็นสถาปัตยกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับพระราชพิธีพระบรมศพ เป็นสิ่งแสดงพระเกียรติยศที่สร้างขึ้นตามความเชื่อในศาสนาพุทธและพราหมณ์ที่ฝังรากลึกในไทยมาตั้งแต่อดีต ด้วยแนวคิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ทรงเปรียบเสมือนสมมติเทพที่จุติลงมาบนโลกมนุษย์ เมื่อสวรรคตก็มีการจัดพระราชพิธีเพื่อส่งดวงพระวิญญาณกลับสู่เขาพระสุเมรุดังเดิม จึงมีการสร้างสถานที่ในการพระบรมศพ โดยจำลองจากเขาพระสุเมรุ อันเป็นศูนย์กลางจักรวาล
ตามธรรมเนียมที่สืบทอดกันมา การจัดสร้างพระเมรุมาศจะถูกเตรียมการทันที หลังจากที่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต
เกรียงไกร เกิดศิริ รองคณบดีฝ่ายวิชาการ และวิจัย คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้บอกเล่าที่มาที่ไปของการสร้าง “พระเมรุ” ไว้ในสารคดี “ในรัชกาลที่ 9” ว่า คำว่า พระเมรุ หรือ สุเมรุ มีความหมายแสดงถึงภูเขาศักดิ์สิทธิ์ในจินตนาทัศน์ของวัฒนธรรมฮินดูที่ส่งอิทธิพลมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ตามความเชื่อของมนุษย์นั้น เชื่อกันว่า ภูเขาเป็นที่สถิตย์ของบรรดาทวยเทพเทวดา เนื่องจากเป็นแผ่นดินที่ยื่นสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ซึ่งเรื่องนี้ถูกบอกเล่าต่อกันมาเป็นตำนาน จนกลายมาเป็นความเชื่อ
การออกแบบ และสร้างพระเมรุมาศแท้จริงแล้วได้รับแนวความคิดจากการก่อสร้างภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ที่เรียกว่า MAN-MADE MOUNTAINS หรือภูเขาที่สร้างด้วยมนุษย์ นับมาตั้งแต่ครั้งจักรวรรดิขอม (กัมพูชาในปัจจุบัน) รุ่งเรือง มีแนวคิดในการประยุกต์ความคิดเรื่องใช้ภูเขาศักดิ์สิทธิ์มาก่อสร้างป็นเทวาลัย สำหรับประดิษฐานรูปเคารพในศาสนาฮินดูนิกายต่างๆ หลังจากนั้นมารูปแบบสถาปัตยกรรมในลักษณะนี้ได้แผ่อิทธิพลมายังลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยเช่นกัน
ในประเทศไทยนั้น ยังไม่มีข้อบันทึกแน่ชัดว่าการก่อสร้างพระเมรุมาศเริ่มมีมาตั้งแต่เมื่อใด แต่เริ่มมีหลักฐานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง ว่าไทยเรารับความเชื่อลักษณะนี้มาจากกัมพูชา ดังที่ปรากฎในบันทึกพระเจ้าปราสาททอง รวมไปถึงภาพถ่ายพระเมรุมาศสมัยพระปิ่นเกล้า สืบเนื่องมาจนถึงพระราชพิธีของพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรี
นับแต่อดีต“พระเมรุมาศ” จะถูกสร้างขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติของพระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ มีรูปแบบแตกต่างกันไปตามแต่ละยุคสมัย รูปแบบดั้งเดิมที่ถูกยึดแบบแผนมาจนถึงปัจจุบัน ก็คือรูปทรงบุษบก ซึ่งจะเป็นรูปแบบที่สร้างขึ้นสำหรับพระมหากษัตริย์เท่านั้น ปรากฎขึ้นครั้งแรกเมื่อครั้งสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และยังคงรูปแบบนี้เรื่อยมาจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
ส่วนในรัชกาลที่ ๙ กำหนดรูปแบบให้มีบุษบกขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง และรายล้อมด้วยบุษบกขนาดเล็กลงมาอีก 8 องค์ รวมเป็น 9 องค์ เท่าตามจำนวนรัชกาล ซึ่งเป็นรูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
“นี่เป็นสถาปัตยกรรมสุดท้ายที่จะทำใหพระองค์” ก่อเกียรติ ทองผุด นายช่างศิลปกรรม กรมศิลปากร ผู้รับหน้าที่สำคัญในการออกแบบพระเมรุมาศในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เล่าถึงความมุ่งมั่นตั้งใจกับการทุ่มเททั้งกายใจในการถวายงานครั้งนี้ด้วยปณิธานในการออกแบบพระเมรุมาศให้สมพระเกียรติสูงสุด และสง่างามที่สุด ซึ่งนอกจากจะต้องศึกษาหาความรู้ตลอดเวลาแล้ว ยังต้องเข้าใจถึงฐานานุศักดิ์ หรือกาละเทศะในการออกแบบด้วย
ความยิ่งใหญ่ของพระเมรุมาศในงานพระราชพิธีถายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ถูกรังสรรค์ขึ้นบนพื้นที่สี่เหลี่ยมจตุรัส ความกว้างด้านละ 6๐ เมตร มีบันไดทั้ง 4 ด้าน ส่วนของบุษบกใหญ่ เป็นองค์ประธาน สำหรับวางพระจิตกาธาน (ฐานที่ทำขึ้นสำหรับเผาศพ) รวมถึงเป็นที่วางหีบพระบรมศพ และพระบรมโกศ มีความสูง ๕๐.๔๙ เมตร ตั้งอยู่กึ่งกลางเปรียบเสมือนเขาพระสุเมรุ หมายถึงศูนย์กลางของโลก หรือจักรวาล อันเป็นที่อยู่ของวิญญาณในภพภูมิต่างๆ รวมไปถึงทวยเทพ ล้อมรอบด้วยซุ้มทรงเป็นบุษบกน้อยใหญ่ที่เปรียบได้กับภูเขาทั้ง ๗ รายรอบ เรียกว่า “สัตบริภัณฑ์คีรี”
อีกหนึ่งความพิเศษของพระเมรุมาศในรัชกาลที่ 9 คือได้รับการออกแบบ ให้มีชั้นเชิงกลอน 7 ชั้น ซึ่งเป็นจำนวนมากที่สุด และไม่เคยมีมาก่อน เพื่อถวายพระเกียรติยศแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 อย่างสูงสุดเทียบเท่ากับพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
การออกแบบพระเมรุมาศครั้งนี้ ถือเป็นสถาปัตยกรรมแห่งกรุงรัตนโกสินทร์โดยแท้จริง ผสมผสานกับสถาปัตยกรรมร่วมสมัยในรัชกาลที่ 9 โดยสีที่ใช้ในการประดับตกแต่งพระเมรุมาศ มีทั้งสิ้น 5 สี ได้แก่ สีทอง เป็นสีประจำวันพระราชสมภพ สีขาว คือธรรมแห่งการปกครอง สีน้ำเงิน แทนพระมหากษัตริย์ สีชมพู เสริมความมงคล และสีเขียว หมายถึงทรงนำความอุดมสมบูรณ์มาสู่แผ่นดินไทย
สถาปัตยกรรมพระเมรุมาศ เป็นภาพสะท้อนของอารยธรรมไทยที่ยังคงเข้มแข็ง เช่นเดียวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ยังคงเป็นหลักของสังคมไทย เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่สุด สมพระเกียรติสูงสุด แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเป็นไปอย่างประหยัด ตามพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9












