ตม.เชียงใหม่ บุกบ้านผู้ต้องหา คดีฆ่ายกครัวหยัดท้ายรถหรูที่ไต้หวัน

ตม.เชียงใหม่ บุกบ้านผู้ต้องหา คดีฆ่ายกครัวหยัดท้ายรถหรูที่ไต้หวัน

ตม.เชียงใหม่ ลงพื้นที่พบครอบครัวผู้ต้องหาฆ่าสามี-ภรรยา พร้อมลูกแฝดในท้อง ยัดท้ายรถหรูที่ไต้หวัน แต่ไม่พบ เผยต้องมาชี้แจงข้อกฎหมาย เหตุถือสัญชาติไต้หวัน ขณะที่ผู้ใหญ่บ้าน ยันไม่เคยใช้อิทธิพลช่วยเหลือใคร รับวัยรุ่นส่วนใหญ่เรียนภาษาจีน และไปทำงานไต้หวันหลักร้อยคน

เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร.ต.อ. รัชทร ทักขิณะ รองสาวัตรตรวจคนเข้าเมืองเชียงใหม่ ได้ลงพื้นที่เข้าตรวจสอบบ้านของ นายสันติ ศุภอภิรดีไพลิน ผู้ต้องหาคดีฆ่ายกครัวยัดท้ายรถหรูที่ประเทศไต้หวัน กล่าวว่า ในวันนี้เข้ามาตรวจสอบชื่อตามข้อมูลที่ได้รับแจ้งมาว่าตรงตามที่อยู่หรือไม่ และให้ข้อมูลกับครอบครัวผู้ต้องหา แต่จากการตรวจสอบวันนี้ พบเพียงน้องชาย อาศัยอยู่เท่านั้น

ส่วนพ่อและแม่ไม่อยู่ภายในบ้านหลังนี้ สำหรับครอบครัวเป็นครอบครัวใหญ่ที่ค่อนข้างเป็นที่รู้จักในหมู่บ้าน ต้องให้ความยุติธรรมของด้วย อีกทั้งผู้ต้องหานั้นมีสัญชาติไต้หวันด้วย จึงถือเป็นคนต่างด้าวเข้าเมือง ซึ่งก็ได้มีการชี้แจงข้อกฎหมายให้กับทางน้องชายรับทราบแล้ว

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :

นายวิญญู แซ่หย่าง ผู้ใหญ่บ้าน บ้านใหม่หนองบัว อำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ส่วนใหญ่วัยรุ่นที่ไปทำงานที่ไต้หวันจะไปทำอาชีพรับจ้าง หรือเป็นล่ามให้กับแรงงานชาวไทย ก่อนหน้านี้วัยรุ่นที่ไปทำงานที่ประเทศไต้หวันส่วนใหญ่จะเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จาก โรงเรียนจีน(ภายในหมู่บ้าน) และขอทำเรื่องไปเรียนต่อที่ไต้หวัน แต่ในช่วงหลังจะมีบริษัทจัดหางานสำหรับคนที่จะไปทำงานที่ประเทศไต้หวัน ซึ่งบริษัทจัดหางานดังกล่าวจะอยู่ที่กรุงเทพฯ

สำหรับข้อมูลที่ว่าครอบครัวของ นางสาวมี่ เคยดึงคนในหมู่บ้านไปทำงานที่ประเทศไต้หวันหรือไม่นั้น ตนไม่ทราบข้อมูล เนื่องจากตนกับนางสาวมี่ไม่ค่อยได้เจอกัน  ซึ่งตอนนี้ตนรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอยากให้ตัวผู้ต้องหาออกมามอบตัว เพื่อบอกเล่าเรื่องราวว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีที่มาที่ไปอย่างไร

สำหรับในเรื่องของอิทธิพลภายในหมู่บ้าน ยืนยันว่าตนเป็นผู้ใหญ่บ้านแต่ไม่เคยไปขมขู่คนในหมู่บ้าน แต่ใครที่มีความคิดที่ว่าตนใช้อิทธิพลตนก็ไม่ติดใจ เนื่องจากตนช่วยเหลือคนในหมู่บ้านด้วยหัวใจ และเข้าใจว่าหลาย ๆคนอยู่ในช่วงเสียใจ ในเรื่องของความขัดแย้งในหมู่บ้าน ตนไม่มีความกังวล เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นของส่วนบุคคล และเชื่อว่าคนภายในหมู่บ้านยังรักใคร่กันดี

ส่วนภาพรวมในหมู่บ้านเป็นคนเชื้อสายจีนยูนาน เมื่อ 10-20 ปี ก่อนคนในหมู่บ้านส่วนใหญ่จะไป เรียน และทำงานที่ประเทศไต้หวัน เพราะสามารถพูดและสื่อสารภาษาจีนได้ ส่วนมากจะไปทำงานในโรงงาน หรือเป็นล่าม ดูแลแรงงานไทยที่ไปทำงานที่ประเทศไต้หวัน และในตอนที่ประเทศไทยประสบปัญหาการระบาดของ โควิด-19 คนในชุมชนได้มีการไปทำงานในโรงงานที่ประเทศไต้หวันเนื่องจากหางานได้ง่ายกว่าในประเทศไทยในขณะนั้น โดยคาดว่าปัจจุบันนี้จำนวนของวัยรุ่นในหมู่บ้านที่ทำงานอยู่ที่ประเทศไต้หวันในขณะนี้อยู่หลายร้อยคน