"ฝีดาษลิง" คนเกิดหลังปี 2523 เสี่ยงมากกว่ากลุ่มอื่นๆจริงหรือไม่ มีคำตอบ

"ฝีดาษลิง" คนเกิดหลังปี 2523 เสี่ยงมากกว่ากลุ่มอื่นๆจริงหรือไม่ มีคำตอบ

ประเด็นโรค "ฝีดาษลิง" คนเกิดหลังปี 2523 เป็นกลุ่มเสี่ยงมากกว่ากลุ่มอื่นๆจริงหรือไม่ มีคำตอบ ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดยังไม่พบ "ฝีดาษลิงในไทย" แต่ทาง สธ.ก็ได้สั่งให้มีการเฝ้าระวัง

ตามที่มีการเผยแพร่ข่าวสารในสังคมออนไลน์เรื่องผู้ที่เกิดหลังปี 2523 เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อโรค "ฝีดาษลิง" มากกว่าประชากรกลุ่มอื่น ทาง ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลจริง

 

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

- "ฝีดาษลิงในไทย" ล่าสุด ชี้แจงประเด็นพบ ฝีดาษลิง 9 รายที่เกาะช้าง

- "ฝีดาษลิง" อาการ ความรุนแรง ทำไมคนเกิดหลังปี 2523 ถึงเสี่ยงต่อโรคที่สุด

- “ฝีดาษลิง” ยังไม่พบในไทย แต่ "มาลาเรีย โนวไซ” ติดจากลิง และระบาดในไทยแล้ว

 

กรมควบคุมโรค เผยยังไม่มียารักษา "ฝีดาษลิง" โดยเฉพาะ ส่วนใหญ่หายเองได้ อาการรุนแรงมักพบในเด็ก โดยอัตราการตายในแอฟริกาพบ 10% วัคซีนไข้ทรพิษช่วยป้องกันได้ 85% ซึ่งคนเกิดหลังปี 2523 ไม่ได้ปลูกฝีอาจเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อโรคฝีดาษลิง โดยอธิบดีกรมควบคุมโรคได้กล่าวถึงโรคฝีดาษลิงว่า โรคดังกล่าวไม่ใช่โรคใหม่ เคยระบาดมาแล้วมากกว่า 20 ปี และเกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่ม Poxviridae อยู่ในจีนัส Orthopoxvirus เช่นเดียวกับไวรัสฝีดาษคนหรือไข้ทรพิษ (variola virus) ไวรัสที่นำมาผลิตวัคซีนป้องกันฝีดาษในคน (vaccinia virus) และฝีดาษวัว (cowpox virus)

 

ทั้งนี้ ไวรัส"ฝีดาษลิง" พบได้ในสัตว์หลายชนิด โดยเฉพาะตระกูลลิงและสัตว์ฟันแทะ เช่น กระรอก หนูป่า เป็นต้น รวมทั้งคนก็ติดโรคได้ คนจะติดโรคจากการสัมผัสโดยตรงกับเลือด สารคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของสัตว์ที่ติดเชื้อ หรือจากการถูกสัตว์ที่มีเชื้อกัดข่วน การประกอบอาหารจากเนื้อสัตว์ป่า หรือกินเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกไม่เพียงพอ หรืออาจติดทางอ้อมจากการสัมผัสที่นอนของสัตว์ป่วย การแพร่เชื้อจากคนสู่คนแม้มีโอกาสน้อย แต่อาจเกิดขึ้นได้จากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยผ่านทางสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจ ผิวหนังที่เป็นตุ่ม หรืออุปกรณ์ที่มีการปนเปื้อนเชื้อ

 

 

เมื่อคนรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะมีระยะฟักตัว 7-14 วัน อาจนานถึง 21 วัน อาการเริ่มแรกจะมีไข้ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ต่อมน้ำเหลืองโต หนาวสั่น อ่อนเพลีย จากนั้น 1-3 วัน จะมีผื่นขึ้นบริเวณแขนขา และอาจจะเกิดบนหน้าและลำตัวได้ด้วย ผื่นจะกลายเป็นตุ่มหนอง ในระยะสุดท้ายตุ่มหนองจะเป็นสะเก็ดแล้วหลุดออกมา อาการป่วยประมาณ 2-4 สัปดาห์ ส่วนใหญ่หายจากโรคเองได้ อาการรุนแรงมักพบในกลุ่มเด็ก ซึ่งในแอฟริกาพบอัตราการเสียชีวิตประมาณ 10%

 

สำหรับ การป้องกันควบคุมโรค เริ่มจากป้องกันตนเอง คือ

1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับเลือด สารคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของสัตว์ที่ติดเชื้อหรือสัตว์ป่า

2. หลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกไม่เพียงพอ

3. ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำหรือเจลแอลกอฮอล์เมื่อสัมผัสกับสัตว์หรือคนที่ติดเชื้อ หรือเดินทางเข้าไปในป่า

4. ไม่นำสัตว์ป่ามาเลี้ยงหรือนำเข้าสัตว์จากต่างประเทศโดยไม่มีการคัดกรองโรค

5. หลังกลับจากประเทศที่เป็นเขตติดโรค ต้องทำการคัดกรองและเฝ้าระวังอาการจนครบ 21 วัน หากมีอาการเจ็บป่วยให้รีบไปพบแพทย์ และแยกกักเพื่อมิให้แพร่กระจายเชื้อ

 

ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาโรค ฝีดาษลิง ที่เฉพาะเจาะจง แต่ควบคุมการระบาดได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้ทรพิษ ซึ่งป้องกันโรคฝีดาษลิงได้ 85% โดยก่อนหน้าที่จะกวาดล้างไข้ทรพิษได้มีการฉีดวัคซีนหรือปลูกฝี ซึ่งจะช่วยป้องกันทั้ง 2 โรค ซึ่งเด็กที่เกิดหลังปี 2523 จะไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนไข้ทรพิษมาก่อน จึงเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อโรคฝีดาษลิงมากกว่าประชากรกลุ่มอื่น

 

ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ https://ddc.moph.go.th/ หรือโทร 02-590-3000

 

\"ฝีดาษลิง\" คนเกิดหลังปี 2523 เสี่ยงมากกว่ากลุ่มอื่นๆจริงหรือไม่ มีคำตอบ

 

หน่วยงานที่ตรวจสอบ : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข , ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม
.