"ฝีดาษลิง" อาการ ความรุนแรง ทำไมคนเกิดหลังปี 2523 ถึงเสี่ยงต่อโรคที่สุด

"ฝีดาษลิง" อาการ ความรุนแรง ทำไมคนเกิดหลังปี 2523 ถึงเสี่ยงต่อโรคที่สุด

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค พูดถึงประเด็นโรค "ฝีดาษลิง" เกี่ยวกับอาการ ความรุนแรงของโรค แนวทางรักษา พร้อมยกเหตุผลที่ว่า ทำไมคนเกิดหลังปี 2523 ถึงเสี่ยงต่อโรคที่สุด

(20 พ.ค.2565) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค พูดถึงประเด็นโรค "ฝีดาษลิง" หลังเริ่มพบการติดเชื้อในหลายประเทศ เผยไม่ใช่โรคใหม่ แต่เมื่อ 20 ปีก่อนเคยมีการระบาดมาแล้ว 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

- "ฝีดาษลิง" อาจทำให้ต้องกลับมาปลูกฝี? เผยสัตว์ที่เป็นพาหะไม่ใช่ลิง

- "ฝีดาษลิง" การติดต่อจากคนสู่คน ชี้เป็นไปได้ ควรรู้ ติดยาก-ง่ายแค่ไหน?

- "โรคฝีดาษลิง" ติดจากสัตว์สู่คนได้ เช็กข้อมูลกรมควบคุมโรค พร้อมแนะวิธีการป้องกัน

- "โรคฝีดาษลิง" น่ากลัวแค่ไหน? อาจารย์เจษฎ์ชี้สาเหตุ-อาการของโรค-วิธีรักษา

 

นพ.โอภาส เผยว่า โรค "ฝีดาษลิง" เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่ม Poxviridae จัดอยู่ในจีนัส Orthopoxvirus เช่นเดียวกับไวรัสอีกหลายชนิด ได้แก่ ไวรัสที่ทำให้เกิด ฝีดาษ ในคนหรือ ไข้ทรพิษ (variola virus) ไวรัสที่นำมาผลิตวัคซีนป้องกันฝีดาษในคน (vaccinia virus) และฝีดาษวัว (cowpox virus) 

 

เชื้อไวรัส "ฝีดาษลิง" พบได้ในสัตว์หลายชนิด โดยเฉพาะสัตว์ตระกูลลิงและสัตว์ฟันแทะ เช่น กระรอก หนูป่า เป็นต้น รวมทั้งคนก็สามารถติดโรคนี้ได้ 

 

คนติดโรค ฝีดาษลิง ได้หรือไม่?

คนสามารถติดโรคจากการสัมผัสโดยตรงกับเลือด สารคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของสัตว์ที่ติดเชื้อ หรือจากการถูกสัตว์ที่มีเชื้อกัดข่วน การประกอบอาหารจากเนื้อสัตว์ป่า หรือกินเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกไม่เพียงพอ หรืออาจติดทางอ้อมจากการสัมผัสที่นอนของสัตว์ป่วย การแพร่เชื้อจากคนสู่คนแม้มีโอกาสน้อย แต่อาจเกิดขึ้นได้จากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยผ่านทางสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจ ผิวหนังที่เป็นตุ่ม หรืออุปกรณ์ที่มีการปนเปื้อนเชื้อ

 

 

อาการ

เมื่อคนรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะมีระยะฟักตัวประมาณ 7-14 วันอาจนานถึง 21 วัน โดยอาการเริ่มแรกจะมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ต่อมน้ำเหลืองโต หนาวสั่น อ่อนเพลีย จากนั้นประมาณ 1-3 วัน จะมีผื่นขึ้นบริเวณแขนขา และอาจจะเกิดบนหน้าและลำตัวได้ด้วย ผื่นจะกลายเป็นตุ่มหนอง ในระยะสุดท้ายตุ่มหนองจะเป็นสะเก็ดแล้วหลุดออกมา อาการป่วยจะประมาณ 2-4 สัปดาห์ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายจากโรคเองได้ โดยอาการรุนแรงมักพบในกลุ่มเด็ก ซึ่งในประเทศแอฟริกาพบอัตราการเสียชีวิตประมาณร้อยละ 10

 

แนวทางการป้องกัน หรือ ควบคุมโรค

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับเลือด สารคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของสัตว์ที่ติดเชื้อหรือสัตว์ป่า 
  • หลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกไม่เพียงพอ 
  • หมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำหรือเจลแอลกอฮอล์เมื่อสัมผัสกับสัตว์หรือคนที่ติดเชื้อ หรือเดินทางเข้าไปในป่า 
  • ไม่นำสัตว์ป่ามาเลี้ยงหรือนำเข้าสัตว์จากต่างประเทศโดยไม่มีการ คัดกรองโรค  
  • กรณีมีการเดินทางกลับจากประเทศที่เป็นเขตติดโรค ต้องทำการคัดกรองและเฝ้าระวังอาการจนครบ 21 วัน หากมีอาการเจ็บป่วยให้รีบไปพบแพทย์ทันทีและทำการแยกกักเพื่อมิให้ผู้ป่วยมีการแพร่กระจายเชื้อ

 

นพ.โอภาส ระบุเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาโรค ฝีดาษลิง ที่เฉพาะเจาะจง แต่ควบคุมการระบาดได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้ทรพิษ ซึ่งป้องกันโรคฝีดาษลิงได้ 85% โดยก่อนหน้าที่จะกวาดล้างไข้ทรพิษได้มีการฉีดวัคซีนหรือปลูกฝี ซึ่งจะช่วยป้องกันทั้ง 2 โรค ซึ่ง เด็กที่เกิดหลังปี 2523 จะไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนไข้ทรพิษมาก่อน จึงเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อโรคฝีดาษลิงมากกว่าประชากรกลุ่มอื่น