เลาะทุ่งกรุงเทพฯตะวันออก

เลาะทุ่งกรุงเทพฯตะวันออก

“ทุ่งนาแดนนี้ไม่มีความหมาย เหลือเพียงกลิ่นโคลนสาบควาย เห็นซากคันไถแล้วเศร้า...”

นี่ไม่ใช่เพลงโปรดของผมหรือเพลงฮิตติดปาก แต่พอนึกถึงท้องทุ่งนาทีไรก็ต้องมีเพลงท่อนนี้โผล่มาทุกที แม้เนื้อหาของบทเพลงจะทุกข์ระทมเหลือเกิน แต่ทุกครั้งที่เห็นทุ่งนาเขียวขจีผมกลับรู้สึกสุขใจอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่ในหัวก็ยังมีเพลงนี้ดังแบบเซอร์ราวด์ (แต่ก็ไม่ได้สนใจความหมายของมัน)
เช้ามืดวันหยุดสุดสัปดาห์ เป็นช่วงเวลาแสนงัวเงีย จักรยานหนึ่งคันกับชายหนุ่มผู้เมาขี้ตากำลังมุ่งหน้าไปตามหาบทเพลงเดิมๆ เพราะระยะหลัง ไม่ค่อยมีทุ่งนาเขียวๆ พลัดหลงเข้ามาในสายตาของผมเลย


ระยะทางจากบ้านราว 20 กิโลเมตรตามถนนอ่อนนุช-ลาดกระบังไปทางทิศตะวันออก ยิ่งใกล้ครบระยะทางดังกล่าวสายตาผมยิ่งต้องหรี่เล็กลงเท่านั้น เพราะจากความมืดกำลังถูกแสงอาทิตย์ขับไสไล่ส่ง


ครบ 20 กิโลเมตรพอดีกับที่ผมขี่จักรยานมาถึงคลองหลวงแพ่ง เขตลาดกระบัง ทั้งที่ผมเติบโตมาในรัศมี 20 กิโลเมตรนี้ แต่ผมกลับไม่เคยย่างกรายมาละแวกคลองหลวงแพ่ง จนวันนี้ที่ได้มาและรู้ว่าแค่อึดใจจากชุมชนแสนวุ่นวายจะได้เจอกับย่านเกษตรกรรม ชุมชนท้องถิ่นที่ยังมีวิถีเดิม เพิ่มเติมคือมีทัวร์จีนเยอะทีเดียว (แอบแซว)


แต่คลองหลวงแพ่งในวันนี้ยังไม่ใช่ที่ที่ผมจะพาเที่ยว เพราะเราจะใช้เป็นจุดเริ่มต้นขี่จักรยานไปกับก๊วนริมทางรถไฟที่ได้นัดกันไว้


พวกเราเริ่มต้นกันที่ริมทางรถไฟสายตะวันออก ตรงสถานีคลองหลวงแพ่งแล้วขี่เลียบเลาะแนวรางไปทางทิศตะวันออก เพียงประเดี๋ยวเดียวจากฝั่งกรุงเทพฯพวกเราก็ข้ามไปฝั่งฉะเชิงเทรา เพราะตรงนี้เป็นตะเข็บชายแดนระหว่างสามจังหวัด กรุงเทพฯ, สมุทรปราการ และฉะเชิงเทรา สมาชิกในก๊วนริมทางรถไฟกระซิบว่าขี่วนไปวนมาแถวนี้อาจได้ไปถึงสามจังหวัดในเวลาไม่ถึงชั่วโมง


เมื่อผ่านช่วงชุมชนแบบหมู่บ้านกึ่งเก่ากึ่งใหม่หลายหมู่บ้านซึ่งมาจับจองพื้นที่ชุ่มน้ำย่านนี้เป็นทำเลที่อยู่อาศัย จะได้เจอเส้นทางที่ยังมีธรรมชาติให้ชื่นใจ เพราะเป็นเส้นทางเล็กๆ ขนาดสองเลน รถยนต์สัญจรผ่านไปมาค่อนข้างน้อยจนรู้สึกอุ่นใจได้ว่าจะไม่ถูกเบียดตกข้างทาง และด้วยความที่รถก็น้อยแถมยังมีสองข้างทางเป็นต้นไม้ใบหญ้า พวกเราจึงสูดหายใจได้เต็มปอด


ชุมชนย่านกรุงเทพฯตะวันออกแบบนี้เป็นย่านชุมชนชาวมุสลิม ยามเช้าของวันหยุดสุดสัปดาห์นอกจากจะได้เห็นวิวเป็นทุ่งหญ้า มีวัวเล็มกินหญ้าแล้ว จะได้เห็นเด็กๆ ตัวน้อยชาวไทยมุสลิมเตรียมตัวไปเรียนศาสนา คิดดูสิครับว่าภาพเด็กหญิงตาคมห่มฮิญาบ เด็กชายหน้าเข้มสวมหมวกกะปิเยาะห์ แต่งกายสุภาพ สะอาด นั่งรอรถโดยสาร บ้างหยอกล้อกัน บ้างนั่งทำหน้าตางัวเงียเหมือนถูกปลุกท่ามกลางฝันดี น่ารักมากเชียวล่ะ


ขี่ผ่านภาพน่ารักๆ มาก็ใช่ว่าจะไม่เหลืออะไรให้เชยชม ด้วยเพราะย่านนี้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมทั้งทำนา ปลูกพืชไร่ เลี้ยงสัตว์ เรียกได้ว่ามีทุกรูปแบบ โดยเฉพาะบ่อเลี้ยงปลาที่ไม่ใช่แค่คนได้จับปลามากินและขาย บรรดานกน้ำก็ยังได้อาศัยปลาในบ่อเหล่านี้เป็นอาหารด้วย แสงแดดยามสายส่องกระทบผืนน้ำ มีนกโฉบไปมามองหาปลาผู้โชคร้าย นกบางตัวเกาะนิ่งบนกอบัว ตอไม้ที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมา คล้ายว่านี้คือป้อมปราการสำหรับซุ่มโจมตีข้าศึกที่อยู่ใต้น้ำ แค่ได้ขี่จักรยานผ่าน จอดแวะดู แวะถ่ายรูป ก็สุขอย่าบอกใคร


และเพื่อให้ได้สัมผัสเส้นทางครบรส ในบางช่วงถนนลาดยางมะตอย บางช่วงเป็นดินลูกรัง บางช่วงคือทางพังๆ จากรถบรรทุกขนาดใหญ่ใช้สัญจร ซึ่งถนนสองแบบหลังคงเปรียบได้กับรสชาติเปรี้ยวเผ็ดเข็ดฟัน แม้จะทรมานบ้างบางคราวทว่าอร่อยด้วยความสนุก เพียงต้องระมัดระวังให้ดี


บอกตามตรงว่าไม่รู้เลยว่าเส้นทางเลาะตามเรือกสวนไร่นาแบบนี้จะพาไปถึงไหนได้บ้าง จนในที่สุดก็ถึงบางอ้อ บางอ้อที่ไม่ใช่บางอ้อ แต่เป็นบางอ้อที่คลองสวน เพราะหลังจากลัดเลาะชมต้นไม้ใบหญ้าแม้จะไม่เขียวขจีเพราะพิษภัยแล้ง แต่ก็เหลืองทองให้บรรยากาศแปลกตาไปอีกแบบ พวกเราก็มาหยุดรถกันที่ริมคลองประเวศบุรีรมย์ มองไปฝั่งตรงกันข้ามคือเรือนแถวไม้เก่าริมคลอง


“นั่นไงตลาดน้ำคลองสวน” สมาชิกคนหนึ่งของก๊วนริมทางรถไฟเอ่ยพลางชี้นิ้วไปยังเรือนแถวไม้เก่าเหล่านั้น


แม้จะมีคันคลองขวางกั้นแต่เราก็หากันจนเจอ ผมเดินไปตามแนวคอนกรีตข้างคลองจนถึงสะพานไม้สีฟ้าที่สูงจนน่ากลัว แต่ก็สวยจนอดถ่ายรูปเป็นที่ระลึกไม่ได้ สะพานไม้นี้น่าจะเป็นจุดขายสำคัญของตลาดน้ำคลองสวนก็ว่าได้ ทั้งเก่า ทั้งสวย ทั้งสูง ทั้งแปลก แถมพอเดินข้ามไปก็ยังทำให้รู้สึกชื่นชมปนประหลาดใจว่าคนสมัยก่อนคิดและสร้างสะพานนี้ได้อย่างไร


เดินข้ามสะพานมาก็ถึงตลาดน้ำคลองสวนทันที ตลาดน้ำคลองสวน หรือ ตลาดคลองสวน 100 ปี ตั้งอยู่ริมคลองประเวศน์บุรีรมย์ในพื้นที่ 2 จังหวัดคือ ตำบลเทพราช อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา และตำบลคลองสวน อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ เป็นตลาดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5


หากย้อนกลับไปในอดีต การเดินทางโดยเรือจะสะดวกและรวดเร็วที่สุด ถ้าเดินทางจากฉะเชิงเทราเข้ากรุงเทพฯ จะต้องใช้เรือเมล์ขาวของนายเลิศซึ่งมีเพียงลำเดียว รับคนจากประตูน้ำท่าถั่ว (ฉะเชิงเทรา) ผ่านตลาดคลองสวน ก่อนจะแล่นเข้าสู่ประตูน้ำ (วังสระปทุม) กรุงเทพมหานคร เมื่ออดีตตลาดคลองสวนเป็นจุดแวะพักและเป็นศูนย์รวมของชุมชน จุดแลกเปลี่ยนสินค้าและเป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญและสะดวกที่สุด


ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน วิถีชีวิตของชาวคลองสวนทั้งชาวไทยจีน ชาวไทยพุทธ ชาวไทยมุสลิม ผสมผสานวัฒนธรรม การดำรงชีวิตประจำวันอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ซึ่งจะเห็นได้จากสิ่งก่อสร้าง เช่น โรงเจ วัด สุเหร่า จะตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน และตลาดแห่งนี้จะเป็นแหล่งนัดพบของผู้คนมานั่งพูดคุยกันที่ร้านกาแฟ หากมีงานกุศล เช่น การขุดคลอง ทำถนน ก็จะมาร่วมแรงร่วมใจพัฒนาสาธารณูปโภคร่วมกัน ทุกคนแม้ต่างศาสนาก็เข้ามาที่จุดนัดพบแห่งนี้ได้ ร้านกาแฟจึงเป็นเสมือนสิ่งเสพติดที่ผู้คนในชุมชนต้องมาพบกันเป็นประจำทุกเช้าอย่างขาดไม่ได้ ทุกวันนี้ร้านกาแฟก็ยังเป็นจุดนัดพบของชุมชนนี้ แม้ในวันที่ผมไปจะไม่มีนักท่องเที่ยวพลุกพล่าน แต่บรรยากาศของตลาดคลองสวนก็ไม่เงียบเหงาจนเกินไป


ผมเดินวนไปเวียนมาจากต้นทางยันท้ายตลาด ทั้งอาหารการกิน ขนมหวาน ผลไม้สดๆ จากสวนละแวกนั้น ก็ยังมีบ้านเรือนเก่าที่ชุมชนร่วมกันอนุรักษ์ไว้นี่แหละที่เดินชมกันเพลิดเพลินเลยทีเดียว เพราะในสิ่งปลูกสร้างเก่าๆ เหล่านี้บรรจุวิถีชีวิตของผู้คนไว้มากมาย


ตั้งแต่เริ่มขี่จักรยานจากคลองหลวงแพ่งผ่านบรรยากาศท้องทุ่งมาจนถึงตลาดคลองสวนที่อุดมด้วยความงดงามของสถาปัตยกรรมและวิถีชีวิตเก่าแก่ เหมือนกับว่าวันนี้จักรยานได้พาผมกลับไปสมัยยังเป็นเด็ก แน่นอนว่าผมไม่ได้เกิดในยุคนั้น แต่ตอนเด็กๆ ผมก็มั่นใจได้ว่าได้เห็นเรือกสวนไร่นาบ่อยและง่ายกว่ายุคนี้มากโข


แล้วยังได้สัมผัสความเป็นอยู่แบบไทยๆ ที่ชุมชนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน เพื่อนบ้านไปมาหาสู่กันอย่างสนิทใจ