สองล้อกับหนึ่งใจ BIKE FOR DAD

‘29 กิโลเมตร’ อาจไกลสำหรับคนปั่นจักรยานมือใหม่ แต่จะกลัวอะไรเพราะหัวใจอันจงรักภักดีจะพาทุกคนมุ่งสู่จุดหมายบนเส้นทางมหามงคลได้แน่นอน
ไม่ว่าวันนี้หรือในวันที่ 11 ธันวาคมประเทศไทยจะมีสายลมหนาวมาช่วยบรรเทาอากาศร้อนผิดฤดูอย่างที่เป็นอยู่หรือไม่ แต่เชื่อได้เลยว่าในวันที่ปวงชนชาวไทยจะแสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ด้วยการปั่นจักรยานเฉลิมพระเกียรติ...ฝนจะตก...แดดจะออก...หรืออะไรก็ตาม สองล้อที่ขับเคลื่อนด้วยสองขาและหนึ่งหัวใจจะยังมุ่งไปข้างหน้า เพราะมนุษย์มีสิ่งมหัศจรรย์อยู่อย่างหนึ่ง...แค่มี ‘ศรัทธา’ จะก่อเกิด ‘พลัง’ ให้มนุษย์ธรรมดาสร้างสิ่งพิเศษขึ้นได้
ก่อนที่กิจกรรม ปั่นเพื่อพ่อ Bike For Dad 2015 จะเริ่มต้นขึ้นทั่วประเทศ วันนี้เราจะพาไปปั่นจักรยานสำรวจเส้นทางมหามงคลตั้งแต่ต้นจนจบ และที่สำคัญคือตามเวลาจริงในวันที่ 11 ธันวาคม
อาจมีหนังสือรวมบทกวีเล่มหนึ่งชื่อ ‘แดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่งจิบกาแฟ’ แต่ในความจริงที่ไม่อ้างอิงหนังสือใดๆ แดดบ่ายสามก็ร้อนระอุจนไม่กล้าคิดว่าจะมีใครออกมาปั่นจักรยานได้เลย
...แต่ ‘ความร้อน’ หรือจะสู้ ‘ความรัก’ มิหนำซ้ำยังเป็นความรักที่ลูกๆ มอบให้แด่พ่อหลวงด้วย...
บ่ายสามโมง ณ ลานพระราชวังดุสิต หรือที่เรียกติดปากว่า “ลานพระบรมรูปทรงม้า” นี่คือจุดเริ่มต้นเส้นทางมหามงคลในกรุงเทพมหานคร ด้วยค่าที่ที่นี่เป็นลานกว้างด้านหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคมและสวนอัมพรซึ่งกว้างขวางมาก ในวันจริงจักรยานจำนวนมหาศาลจะเนืองแน่นเต็มพื้นที่แน่นอน
แม้จะเป็นจุดสตาร์ทแต่จะเริ่มปั่นไม่ได้หากยังไม่ได้กราบสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ พระบรมรูปทรงม้า เพื่อเอาฤกษ์เอาชัย เพราะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวคือพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 5 ในจักรีวงศ์ ที่ทรงบำเพ็ญพระกรณียกิจนานัปการเพื่อพสกนิกรไทย แน่นอนว่าเรื่องเด่นที่ทุกคนรับรู้คือ พระองค์ทรงประกาศเลิกทาส ทั้งยังเป็นพระมหากษัตริย์ผู้นำความเจริญเยี่ยงอารยประเทศเข้ามาสู่แผ่นดินไทยด้วย
ซึ่งพระบรมรูปทรงม้าสร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หากใครเคยไปหรือเคยเห็นพระบรมรูปของพระเจ้าหลุยส์ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส อาจจะคุ้นตาเพราะพระบรมรูปทรงม้ามีแบบอย่างจากพระบรมรูปของพระเจ้าหลุยส์นั่นเอง
สำหรับลานพระราชวังดุสิตนี้ นอกจากจะมีพระบรมรูปทรงม้าเป็นจุดสังเกตหลัก แต่เรื่องจริงที่หลายคนหลงลืมคือ ที่นี่มี หมุด 24 มิถุนายน 2475 ที่ระลึกการเปลี่ยนแปลงการปกครองอยู่ด้วย
แล้วก็ถึงเวลาออกสตาร์ทโดยปั่นไปตามถนนศรีอยุธยา แม้ในวันที่เราสำรวจเส้นทางจะเป็นวันธรรมดา มีรถมาก ทว่าความงดงามของถนนสายนี้ซึ่งเลียบไปกับพระราชวังดุสิตนั้นก็ไม่แพ้จำนวนรถยนต์เลย ทิวไม้ริมถนนสายนี้ร่มรื่นช่วยให้การปั่นจักรยานรื่นรมย์ขึ้นมากทีเดียว
เพียงครู่เดียวก็จะมาถึงสี่แยกวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม และตามชื่อเสียงเรียงนามของแยกนี้ คือ เป็นที่ตั้งของวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
เพียงแค่ปั่นจักรยานผ่านหน้าประตูวัด ไม่ทันเห็นทวารบาลแต่กลับได้ยินเสียงนักท่องเที่ยวต่างชาติพูดขึ้นว่า “This is the Marble Temple” และที่มาที่ไปที่ทำให้คนทั่วโลกรู้จักพระอารามหลวงแห่งนี้ในนาม ‘วัดหินอ่อน’ ก็เพราะในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงสถาปนาวัดนี้ขึ้นด้วยศิลปะสถาปัตยกรรมไทยโบราณ โดยมีเอกลักษณ์ คือ พระอุโบสถ พระระเบียง ประดับด้วยหินอ่อนชั้นเลิศจากประเทศอิตาลี ด้วยความวิจิตรงดงามจึงมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศสนใจเข้าชมแน่นขนัดทุกวัน
ปั่นต่อไปบนถนนสายเดิม จะผ่านแยกเสาวนีย์, แยกศรีอยุธยา, แยกพญาไท และพอถึงแยกมักกะสันให้เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนราชปรารภมุ่งหน้าสู่แยกประตูน้ำ ถ้ามาในวันเวลาปกติอาจมีหลายคนแวะชอปปิง แต่ในวันมหามงคลอย่างนี้เป้าหมายสำคัญคือปั่นจักรยาน ดังนั้นจงปล่อยให้ประตูน้ำเป็นทางผ่านไปก่อน แล้วตรงไปที่แยกราชประสงค์ หากใครอยากกราบขอพรองค์ท้าวมหาพรหมก็ไม่น่าจะเสียเวลานัก แต่อย่ารอช้าให้เลี้ยวขวาไปบนถนนพระรามที่ 1 ปั่นจนถึงแยกปทุมวันแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนพญาไท ก็จะเจอจุดประทับพักที่ 1 นั่นคือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยและสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของประเทศไทย ถือกำเนิดจากโรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งขึ้นภายในพระบรมมหาราชวัง เมื่อ พ.ศ.2442 พร้อมทั้งพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้อัญเชิญ ‘พระเกี้ยว’ มาเป็นเครื่องหมายประจำโรงเรียน
และเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ.2459 (ขณะนั้นนับวันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ นับอย่างใหม่ต้องเข้าปี พ.ศ.2460) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงประดิษฐานขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย และพระราชทานนามว่า “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” เพื่อเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์เฉลิมพระเกียรติแห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมชนกนาถของพระองค์
หลังจากพักเสร็จเราจะปั่นกันต่อไปตามถนนพญาไทจนไปเลี้ยวซ้ายที่แยกสามย่านเพื่อเข้าสู่ถนนพระรามสี่ แต่อย่าเพิ่งรีบปั่นไป เพราะ ณ จุดนี้มีสวนสาธารณะแห่งแรกของประเทศไทยตั้งอยู่ ทำหน้าที่ทั้งเป็นแหล่งสันทนาการและเป็นปอดของกรุงเทพฯแห่งหนึ่งด้วย ที่นี่คือ สวนลุมพินี หรือที่นิยมเรียกสั้นๆ ว่า สวนลุม เปิดให้บริการตั้งแต่ปี พ.ศ.2468 ก่อสร้างในสมัยพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ในที่ดินเดิมเนื้อที่ 360 ไร่ ณ ทุ่งศาลาแดง ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานสำหรับสร้าง ‘สยามรัฐพิพิธภัณฑ์’ เพื่อจัดแสดงสินค้าไทยเป็นครั้งแรก และจัดให้เป็นสวนสาธารณะสำหรับประชาชน พร้อมทั้งพระราชทานนามว่า “สวนลุมพินี” ซึ่งเป็นชื่อสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าในประเทศเนปาล
หากนับศักราชให้ดี ในอีก 10 ปี (พ.ศ.2568) สวนลุมพินีจะมีอายุครบ 100 ปี ทางกรุงเทพมหานครจึงมีโครงการปรับภูมิทัศน์และปรับปรุงทัศนียภาพต่างๆ ภายในสวนให้ทันวาระครบรอบดังกล่าวด้วย
แม้จะเป็นการปั่นผ่านแต่การได้สูดออกซิเจนจากสวนลุมก็ทำให้ชุ่มปอดได้มิใช่น้อย เพิ่มพลังให้ปั่นไปต่อจนถึงจุดร่วมขบวนที่ 1 ตรงแยกศาลาแดง แล้วขบวนที่ใหญ่ขึ้นจะเลี้ยวซ้ายไปตามถนนสีลมผ่านแยกสีลมคอนแวนต์ ย่านนี้เราจะได้เห็นบรรยากาศของย่านการค้า แม้ในวันจัดกิจกรรมจริงก็จะมีกลิ่นอายให้ได้สัมผัสบ้าง
ปั่นผ่านแยกต่างๆ มาจนถึงแยกบางรัก ตรงนี้ถ้าในวันธรรมดาน่าจะเป็นจุดที่นักปั่นต้องระวังกันมากสักหน่อยเพราะเป็นแยกที่ค่อนข้างวุ่นวายทั้งจากสัญญาณไฟจราจรและจำนวนรถคับคั่ง แต่เมื่อเลี้ยวขวาสู่ถนนเจริญกรุงได้ก็ตรงไปเรื่อย ข้ามสะพานข้ามคลองผดุงกรุงเกษม (พิทยเสถียร) จนไปเจอภาพคุ้นตาของชาวไทยเชื้อสายจีนที่อาศัยนกรุงเทพมหานคร เพราะช่วงตรุษจีนและเทศกาลต่างๆ ที่เกี่ยวกับชาวจีน มักจะได้แวะเวียนมาแถวนี้นั่นคือย่านเยาวราช แต่ก่อนจะถึงถนนเยาวราชแบบเต็มๆ จะต้องเจอ วงเวียนโอเดียน เป็นการต้อนรับและบอกให้รู้ว่าคุณได้มาถึงไชน่าทาวน์เรียบร้อยแล้ว เพราะอยู่หัวถนนเยาวราช เป็นจุดตัดของถนนเจริญกรุง, ถนนเยาวราช และถนนมิตรภาพไทย-จีน
วงเวียนแห่งนี้มีประวัติความเป็นมาคู่กับถนนเยาวราช เคยเป็นศูนย์รวมสถานบันเทิง เดิมเป็นวงเวียนน้ำพุ เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชน ปัจจุบันปรับปรุงเป็นที่ตั้งของ ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา สร้างขึ้นในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ เมื่อปี พ.ศ.2542 จากการร่วมแรงร่วมใจกันของชาวไทยเชื้อสายจีน บริษัท ห้างร้าน กลุ่มมวลชน หน่วยงานราชการ จนวงเวียนโอเดียนเป็นสัญลักษณ์ของไชน่าทาวน์เยาวราช
เห็นวงเวียนโอเดียนก็หมายถึงมาถึง เยาวราช เรียบร้อยแล้ว การได้ปั่นจักรยานไปบนถนนสายนี้ก็ไม่แตกต่างอะไรกับได้ปั่นจักรยานที่แดนมังกร เพราะพร้อมพรั่งด้วยบรรยากาศย่านการค้าชาวจีน นอกจากความคึกคักของร้านค้ามากมาย ระยะทาง 1 กิโลเมตรของถนนเยาวราชยังอัดแน่นด้วยความเป็นมายาวนานและน่าสนใจอีกเพียบจนถูกกล่าวขานว่าเป็น “ถนนมังกร”
มีจุดเริ่มต้นของหัวมังกรที่ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษาบริเวณวงเวียนโอเดียน ท้องมังกรอยู่ที่บริเวณตลาดเก่าเยาวราชและสิ้นสุดปลายหางมังกรที่บริเวณปลายสุดของถนน
ถนนสายนี้สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อให้เยาวราชเป็นสถานที่สำหรับส่งเสริมการค้าขาย เดิมทีชื่อถนนยุพราชและได้โปรดเกล้าพระราชทานนามใหม่ว่าถนนเยาวราช
เยาวราชเป็นแหล่งชุมชนชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีน หากสังเกตจะพบว่ามีร้านค้า ธนาคาร ร้านทอง ภัตตาคาร ร้านอาหาร ฯลฯ รวมทั้งแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของกรุงเทพมหานครอยู่มากมาย
...ด้วยเหตุที่ถนนสายนี้เป็นถนนมังกร เท่ากับว่าเราจะได้ปั่นจักรยานไปบนมังกรตัวนี้...
แล้วเราก็มุ่งหน้าสู่แยกวัดตึกเพื่อเลี้ยวซ้ายเข้าถนนจักรวรรดิ ถึงตรงนี้หลายคนที่ไม่เคยปั่นจักรยานไกลกว่าหน้าปากซอย หรือไม่ได้ซ้อมปั่นขึ้นทางชัน อาจจะอุทานในใจ...เพราะข้างหน้าคือสะพานพระปกเกล้า แต่ไม่ต้องกังวลว่าจะขึ้นไม่ได้เพราะเชื่อเถิดว่ากำลังใจจากคนที่ปั่นจักรยานอยู่รอบตัวเราในวันนั้นบวกกับพลังใจที่อยากปั่นจักรยานเฉลิมพระเกียรติในหลวงของเราจะทำให้ทุกท่านพิชิตทางชันอย่างสะพานพระปกเกล้าได้อย่างสง่าผ่าเผยแน่นอน
แต่จะขอแนะนำสักหน่อย หากจักรยานของท่านมีเกียร์ ก่อนจะขึ้นสะพานอย่าเพิ่งรีบปรับเกียร์จนเบาหวิว แต่ควรปรับเกียร์ไปทีละเล็กละน้อยตามระยะของทางขึ้นสะพาน ค่อยๆ ขึ้นไป และเมื่อใกล้ถึงจุดสูงสุดของสะพานให้ปรับเกียร์หนักขึ้นๆ จะช่วยทั้งผ่อนแรงและส่งแรงเมื่อต้องลงสะพาน (แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ เข็นได้ ไม่มีใครว่าครับ)
พอข้ามสะพานเสร็จหมายความว่าท่านได้ข้ามจากฝั่งพระนครมาฝั่งธนบุรีแล้ว ให้ปั่นไปบนถนนประชาธิปกผ่านแยกบ้านแขกสู่ วงเวียนอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน หรือที่เรียกกันว่า วงเวียนใหญ่
จากที่ได้ลองปั่นตามเวลาใกล้เคียงความจริง ถึงตรงนี้แสงสุดท้ายอาจจะหมดหรือใกล้หมดเต็มทีการปั่นจักรยานยามค่ำคืนจำเป็นต้องมีไฟสัญญาณและไฟส่องทาง (ย้ำว่าจำเป็นอย่างยิ่ง!)
สำหรับวงเวียนใหญ่นอกจากจะมีหน้าที่เป็นวงเวียนให้รถสัญจรไปมา ยังเป็นที่ตั้งของพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี และบริเวณใกล้เคียงเป็นที่ตั้งของสถานีรถไฟวงเวียนใหญ่ ซึ่งเป็นสถานีต้นทางของทางรถไฟสายแม่กลอง (วงเวียนใหญ่-มหาชัย) ด้วย
พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2496 ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม ออกแบบและควบคุมการหล่อโดยศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เป็นพระบรมรูปทรงเครื่องกษัตริย์ ประทับบนหลังม้า ทรงพระมาลา เบี่ยงหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้สู่จันทบุรี พระหัตถ์ขวาทรงพระแสงดาบชูออกไปเหนือพระเศียร พระหัตถ์ซ้ายทรงบังเหียน ท่านำพลรุกไล่ข้าศึก และที่นี่ก็เป็นจุดร่วมขบวนที่ 2 ด้วย
ขบวนจักรยานใหญ่ขึ้น ความคึกคักย่อมมากตาม แม้ความมืดกำลังแทรกซึมไปทั่วทุกพื้นที่ แต่ในหัวใจของทุกคนน่าจะยังส่องสว่างสดใส นี่คือการปั่นช่วงท้ายแล้วเพราะต้องวกกลับเข้าสู่ถนนประชาธิปกอีกครั้ง พอถึงแยกบ้านแขกให้เลี้ยวซ้ายไปทางถนนอรุณอมรินทร์แล้วข้ามสะพานข้ามคลองบางกอกใหญ่ (อนุทินสวัสดิ์) จนถึงพระราชวังเดิมซึ่งเป็นจุดประทับพักที่ 2
คราวนี้เราจะปั่นกลับฝั่งพระนครโดยใช้ถนนอรุณอมรินทร์มาจนถึงแยกศิริราช ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลที่เป็นที่พึ่งของทั้งผู้ป่วยยากไร้ไปจนถึงผู้ป่วยทุกระดับฐานะเพราะโรงพยาบาลศิริราชนับเป็นโรงพยาบาลที่รวบรวมบุคลากรทางการแพทย์ระดับแนวหน้าของประเทศไทยไว้ ทำให้ที่ศิริราชมีผู้ป่วยมารักษามากมายทุกวัน
จากแยกศิริราชขึ้นสะพานอรุณอมรินทร์ พอถึงแยกอรุณอมรินทร์ให้เลี้ยวขวาสู่ถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้า นี่เป็นอีกจุดที่ต้องให้ทุกคนเตรียมตัวใช้แรงกายแรงใจที่มีพิชิตสะพานพระปิ่นเกล้าให้ได้ และเป็นอีกครั้งที่ผมจะบอกว่า “ทุกคนทำได้”
เมื่อลงสะพานฝั่งพระนครเรียบร้อยให้ปั่นเข้าถนนราชดำเนินกลาง ยามค่ำคืนในเดือนธันวาคมอันเป็นเดือนมหามงคล แสงไฟที่ประดับประดายังสว่างไสว น่าจะเป็นอีกจุดที่ทำให้ทุกคนหายเหนื่อย และอีกจุดที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ เพราะเป็นดั่งแลนด์มาร์คของกรุงเทพมหานคร (อีกแห่ง) คือ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่ตั้งตระหง่านรอให้ทุกคนปั่นจักรยานผ่านอยู่กึ่งกลางวงเวียนระหว่างถนนราชดำเนินกลางกับถนนดินสอ
อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยนี้สร้างขึ้นเป็นที่ระลึกถึงเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย การก่อสร้างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเริ่มขึ้นในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2482 และทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2483 ในสมัยจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยเป็นผลงานการออกแบบของหม่อมหลวงปุ่ม มาลากุล โดยนำสถาปัตยกรรมแบบไทยมาผสมผสาน ตรงกลางเป็นสมุดไทยที่สื่อถึงรัฐธรรมนูญประดิษฐานบนพานแว่นฟ้า นอกจากการเป็นสัญลักษณ์เพื่อระลึกถึงประชาธิปไตยนั้น อนุสาวรีย์แห่งนี้ ยังเป็นหลักกิโลเมตรที่ศูนย์ของกรุงเทพมหานครและประเทศไทยอีกด้วย...
และแล้วความจงรักภักดีก็พาทุกคนมาช่วงสุดท้ายจริงๆ เพราะเมื่อผ่านแยกป้อมมหากาฬ, แยกผ่านฟ้าลีลาศ เลี้ยวซ้ายเข้าถนนราชดำเนินนอก ตรงไปอีกไม่ไกลก็จะถึงลานพระราชวังดุสิตซึ่งเป็นทั้งจุดเริ่มต้นและเส้นชัย ที่ในวันนั้น ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ใช้กายและใจปั่นจักรยานมาจนครบ 29 กิโลเมตร







