ชีราซ...กุหลาบงามแห่งเปอร์เซีย

ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วชาวอิหร่านมีลักษณะนิสัยกันอย่างไร
แต่จากเหตุการณ์รถติดจนทำเอาผมตกรถไฟ และต้องลนลานหาบัตรรถทัวร์ ทำให้ผมเชื่อว่านิสัยใจคอของชาวอิหร่าน คงเป็นชนชาติที่อารมณ์ดีกันพอสมควรเลยทีเดียว เพราะทุกคนเฮฮาปาจิงโกะมาก ตั้งแต่พนักงานขายบัตรรถทัวร์ ที่เรียกให้ผมถ่ายรูป พร้อมยิ่มแฉ่งกันแบบไม่หยุดไม่หย่อน ทั้งที่เวลาออกรถใกล้เข้ามาทุกที จนผมแทบจะตกรถทัวร์ซ้ำ
ผมเป็นคนสุดท้ายที่ขึ้นไปบนรถทัวร์สายเตหะราน - ชีราซ ผู้โดยสารคนอื่นตะลึงกันตาตั้งทันทีที่เห็นไอ้ตี๋นี่ขึ้นมาบนรถ และระดมสัมภาษณ์กันไม่ยั้ง ผมจึงไม่เหงาเลยตลอดเวลาเดินรถเจ็ดชั่วโมง
10 โมงนิดหน่อย ผมก็เดินทางมาถึงชีราซ เมืองชื่อเดียวกับไวน์ประเภทหนึ่ง บ้านเกิดของมหากวีอิหร่านถึงสองคน คือ Sadi และ Hafez ที่ชาวอิหร่านทุกคนต้องรู้จัก คนที่นั่งข้างๆ ผมบนรถทัวร์บอกว่า ชีราซคือเมืองโรแมนติกอันดับ 1 ของอิหร่าน ที่ทำให้คนตกหลุมรัก
หลังจากลงจากรถ ตั้งสติได้ ผมจึงตัดสินใจเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่โฮสเทล ซึ่งได้รับการเขียนแนะนำอยู่ในหนังสือโลนลี่ แพลนเน็ท สนนราคาคืนละราว 300 บาท ซึ่งก็ถือว่าสมราคา เพราะสวยงาม สะอาดสะอ้าน และที่สำคัญอาหารอร่อย ขอไม่บอกชื่อ เดี๋ยวจะหาว่าโฆษณาเกินเหตุ แต่ลองไปหาดูในโลนลี่ แพลนเน็ทดูครับ ไม่ยาก และคุ้มจริง
ที่นี่ผมได้พบกับ เบดราน นักเดินทางจากอิตาลีที่ได้นอนเตียงข้างกัน ตลอดการเดินทางนี้ผมได้เจอคนมากมายที่เดินทางด้วยเหตุผลต่างกันไป ทั้งโดนแฟนทิ้งเลยปั่นจักรยานรอบโลก หรือเกษียณอายุเลยลองทำตามฝันดูซักครั้ง ขณะที่บางคนแค่อย่างท่องเที่ยวเฉยๆ อย่างผม แต่เหตุผลของเบดรานนี่น่าสนใจ เขาเป็นเชฟตกงานที่เดินทางเพื่อชิมอาหาร และหาซื้อวัตถุดิบกลับไปอิตาลี เป้าหมายหลักของเขาในการมาอิหร่าน คือเพื่อหาซื้อหญ้าแซฟฟรอน และถั่วพิสตาจิโอที่ดีที่สุด กลับไปทำอาหารที่อิตาลีต่อไป
คุยกันซักพัก ผมก็ขอตัวออกมาเดินเล่นในเมือง เพราะกลัวเวลาจะเย็นย่ำเสียก่อน
ชีราซ (Shiraz) เต็มไปด้วยโบราณสถาน และศาสนสถานมากมาย ไล่ตั้งแต่ Arg-e KarimKhan ป้อมปราการโบราณที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ไปจนถึงโรงเรียนสอนศาสนา และมัสยิดต่างๆ ให้เข้าชมจนไม่หวาดไม่ไหว แต่ไฮไลท์สำคัญคงอยู่ที่ Pink Mosque มัสยิดที่ขึ้นชื่อว่าสวยงามเกินคำบรรยาย แต่ในวงเล็บว่า ต้องไปแต่เช้าเท่านั้น เพื่อดูแสงแดดส่องผ่านกระจกสีของตัวมัสยิด ผมจึงยกให้มัสยิดนี้อยู่ในโปรแกรมวันต่อๆ ไป
สาเหตุที่มีคนบอกว่าชีราซเป็นเมืองโรแมนติก เห็นจะเป็นเพราะสวนสาธารณะสวยงามที่มีให้เห็นเต็มเมืองไปหมด ผู้คนพากันออกมานั่งปิกนิก ชมสวนดอกไม้พลางจิบชากันเป็นกิจวัตร ซึ่งชาของอิหร่านนี่เขาก็จะเคลมว่าแตกต่างจากชาของประเทศอาหรับอื่นๆ เพราะชาของเขาเป็นชาเปอร์เซีย ส่วนตัวผมไม่ใช่คอชา จึงไม่รู้ถึงความแตกต่างมากนัก แต่ก็หอมหวลชวนดื่มทั้งสองชนิด
แต่สิ่งที่ผมรับรู้ได้ถึงความแตกต่างคือ เคบับ ซึ่งแตกต่างจากตุรกีที่ผมเพิ่งไปมาค่อนข้างมากเลยทีเดียว เพราะเคบับของตุรกีนั้นจะรับประทานคู่กับแป้งเป็นหลัก แต่เคบับอิหร่านมาพร้อมกับข้าว ที่บางส่วนหุงกับแซฟฟรอนทำให้เป็นสีเหลือง แถมยังเสิร์ฟกันแบบพูนจาน งานนี้ถูกปากคนที่กินข้าวเป็นหลักอย่างเรา
สิ่งที่ประทับใจอีกอย่างคือ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของเมืองนี้ที่อธิบายให้ฟังละเอียดยิบ พร้อมให้แผนที่ทั้งขนาดใหญ่ ขนาดเล็ก และโบรชัวร์ข้อมูลของสถานที่สำคัญต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน จนผมคิดว่าเมืองไทยน่าเอาเยี่ยงอย่าง เพราะแม้นักท่องเที่ยวในอิหร่านจะมีอยู่เรื่อยๆ แต่เมื่อเทียบกับไทยแล้ว จำนวนแตกต่างกันอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งพี่ไทยเราแค่แผนที่รถไฟใต้ดินในบางสถานียังไม่มีเลย
ขอเตือนตรงนี้ไว้นิดหนึ่ง แม้คนอิหร่านโดยรวมจะเป็นมิตรและอัธยาศัยดี แต่ก็มีอยู่บ้างที่มักจะมีคนเนียนเข้ามาทำตัวตีสนิท และออกตัวพาเดินชมรอบๆ โดยบอกว่าเขาจะไปเส้นทางเดียวกันพอดี และชอบคุยกับนักท่องเที่ยวเพื่อฝึกทักษะภาษาอังกฤษ ซึ่งสุดท้ายเขาจะคิดเงินคุณ แต่เขาเหล่านี้พูดภาษาอังกฤษได้ในระดับดีทีเดียว และค่าบริการที่เขาจะคิดก็ไม่ได้แพงมากจนเกินไป ถ้าคุณไม่คิดอะไรมาก จะลองไปกับเขาดูก็สุดแล้วแต่พิจารณา (ส่วนตัวผมสารภาพว่าโดนไปสองทีในหนึ่งวัน ขอค่าบริการตามศรัทธา เลยตกลงกันที่เจ้าละ100บาท จริงๆ มันไม่ได้มากมายอะไร แต่ผมอาจแค่ไม่ชอบความรู้สึกว่าโดนหลอก)
ฟ้าเริ่มมืด นั่งจิบชาที่สวนสาธารณะพอให้หายล้าซักพักก็เดินกลับโฮสเทล เจอเบดรานนั่งอยู่ที่ห้องอาหาร เลยร่วมโต๊ะกินข้าวพร้อมกันเสียเลย ระหว่างนั้นเบดรานก็มีเพื่อนมาสมทบเพิ่มอีกสองคน ซึ่งทั้งหมดก็เพิ่งรู้จักกันที่เมืองยาดซ์ Yazd ซึ่งเป็นเมืองจุดหมายต่อไปของผม และทุกคนก็มาพบกันที่นี่อีกโดยไม่ได้นัดหมาย
เฟอร์กาล หนุ่มไอริชที่ลาพักร้อนมาท่องเที่ยวกับ ริคคาโด นักศึกษาจากอิตาลีที่ได้เข้าโครงการแลกเปลี่ยนมาเรียนที่ตุรกี ซึ่งไม่ไกลจากอิหร่าน เลยอาศัยช่วงปิดภาคเรียนมาเที่ยวเช่นกัน ทั้งคู่เพิ่งมาถึงชีราซกันสดๆ ร้อน แต่เบดรานนั้นมาถึงก่อนหน้านี้สองวันแล้ว และมีกำหนดการกลับอิตาลีพรุ่งนี้
เมื่อได้คุยกันจึงรู้ว่า พรุ่งนี้ทั้งเฟอร์กาลและริคคาโดจะไป Persepolis มหานครเปอร์เซียอันรุ่งเรืองในอดีต ร่องรอยอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งของโลก ที่ถูกพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ทำลายย่อยยับ และอยู่ไม่ห่างไกลจากชีราซนัก ทั้งคู่กำลังปรึกษากันเรื่องการเดินทางไปให้ถึงเมืองมรดกโลกในวันพรุ่งนี้ เพราะการนั่งแท็กซี่ไปเพียงสองคน มีราคาสูงเกินไป
แน่นอนผมไม่รอช้า รีบเสนอตัวขอไปด้วยทันที ซึ่งทั้งสองก็ยินดีที่จะมีคนหารค่ารถไปอีกหนึ่งคน เป็นอันว่าผมได้เพื่อนร่วมทางใหม่แบบชั่วคราวอีกครั้ง สงสัยคำพูดที่ว่าความโรแมนติกของเมืองนี้ จะทำให้คนตกหลุมรักกัน ท่าจะเป็นเรื่องจริง…ฮา







