บนเส้นทางค้นหาตัวเอง กุณฑ์ สุจริตกุล

โครงการทำมะ ไม่ธรรมดา เรียนรู้ธรรมะง่ายๆ บนมือถือเป็นฝีมือของหนุ่มช่างคิดคนนี้ ซึ่งมีมุมคิดน่าสนใจทีเดียว
เป็นคนที่รักการเดินทางเป็นชีวิตจิตใจ สนใจธรรมะ ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม โดยมองว่า ธรรมะก็คือ ความจริงและธรรมชาติ
ก่อนหน้านี้ เขาทำโครงการ ทำมะ นวัติกรรมใหม่เพื่อสร้างความสุขให้กับคนเมือง เพื่อใช้เป็นเครื่องมือปลดล็อคชีวิตให้หันกลับมามีสติ รู้เนื้อ รูู้ตัว นอกจากนี้ยังทำแอปพลิเคชั่น “ทำมะ ไม่ธรรมดา” เรียนรู้ธรรมะง่ายๆ บนมือถือ
นั่นแหละคือ กุณฑ์ สุจริตกุล ชายหนุ่มอีกคนที่ชอบตั้งคำถามกับชีวิต และเขาก็เข้าไปค้นหาคำตอบจากการร่ำเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยนาโรปะ อเมริกา แต่คำตอบทั้งหมดก็อยู่ที่การใช้ชีวิต และเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านเขาเป็นผู้ประสานงานให้สวนโมกข์กรุงเทพฯ นำคณะไปเข้าเฝ้าศึกษาธรรมจากองค์ดาไล ลามะที่ธรรมศาลา ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ที่เขานับถือมาก
เพราะเขารู้สึกว่า ผู้นำพุทธศาสนาท่านนี้สามารถคุยแบบคนธรรมดาๆได้
"องค์ดาไล ลามะ เป็นพระอาจารย์ที่ไม่ทำให้เราเครียด ท่านสามารถออกไปดื่มกาแฟกับเราได้ เวลาอยู่กับท่าน ทำให้เราอยากเรียนรู้ ไม่เกร็ง เพราะท่านไม่มีพิธีรีตอง"
ณ วันนี้ กุณฑ์เรียกตัวเองว่า นักออกแบบการเดินทาง (trip designer) บนเส้นทางวัฒนธรรมพุทธในเอเชีย และตอนนี้กำลังหลงใหลภูฎาน
เป็นคนหนุ่มที่สนใจเรื่องพุทธศาสนา ?
ผมสนใจพุทธศาสนาในแง่การเปลี่ยนแปลงตัวเอง พอทุกข์แล้วได้มาเรียนรู้อะไรบางอย่าง ช่วยได้ครับ ทั้งเรื่องสับสน ขัดแย้ง ไม่รู้จะทำยังไงกับตัวเอง เมื่อผมค้นหา ผมก็เจอวิธีการบางอย่างในเรื่องการปฎิบัติและนำมาใช้กับชีวิตประจำวันได้ ช่วยให้เบาได้เยอะ แต่ผมไม่ได้ลึกซึ้งขนาดเป็นพระอาจารย์อะไร
เพราะชอบตั้งคำถามกับชีวิต ?
ผมเป็นคนที่ชอบตั้งคำถามและค้นหาคำตอบ เสียเวลามาเยอะ แต่ก็ได้อะไรมาเยอะ ผมค้นหาตัวเองโดยการเดินทางเยอะมาก ผมเชื่อว่าการศึกษาที่ดีที่สุดเกี่ยวกับโลกภายนอกและภายในตัวเองคือ การเดินทางไปในที่ๆ ไม่คุ้นเคย หรือสถานที่ใหม่ๆ โดยไม่ยึดติดกับความสบาย ผมชอบภูฎาน อินเดีย จีน ศรีลังกา ประเทศที่ไม่เจริญมาก ทำให้เราเห็นโลกกว้างขึ้น
ตรงจุดไหนที่ทำให้คุณเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ทั้งเรื่องธรรมะและการเดินทาง เมื่อผมเห็นสังคมที่มีความทุกข์ เห็นประเทศที่ยากจนกว่าเรา เห็นธรรมชาติ เราเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ของอะไรที่มันยิ่งใหญ่มาก ทำให้เรามีมิติที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับจิตใจมากขึ้น และทำให้สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ผมก็พยายามหาพื้นที่ หรือ จุดยืนของเราในสังคมที่เราเรียกว่า บ้าน เพราะสังคมปัจจุบันเชี่ยวกราดมาก
ก่อนหน้านี้คุณคิดว่าธรรมชาติยิ่งใหญ่ขนาดนี้ไหม
มันก็แค่อยู่ในความคิด แต่พอเดินทาง มีประสบการณ์ ทำให้เราเข้าใจมากกว่าความคิด เหมือนปัญญามันเกิด มันมีสภาวะบางอย่าง ตอนนี้ผมอายุ 31 ปีตอนอายุ 21-22 ผมเดินทางเยอะมาก เพราะผมอยากรู้ว่าชีวิตคืออะไร ผมก็เจอบ้าง ไม่เจอบ้าง ผิดบ้าง ถูกบ้าง
คำตอบของชีวิตคุณมาจากการเดินทางและการศึกษาธรรม?
คำตอบมาจากคำถามก่อนว่า อะไรที่มันผิดปกติ และเราต้องการอะไรในชีวิต อันนี้แหละคือคำตอบ เพราะคำถามสำคัญกว่าคำตอบ คำถามจะพาเราไปหาคำตอบเอง บางคนเจอ บางคนไม่เจอ บางคนหลง ที่สำคัญต้องมีคำถามกับชีวิตก่อนว่า ชีวิตคืออะไร คุณค่าของชีวิตคืออะไร
ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง คุณคิดและรู้สึกอย่างไร
ผมเกิดในสังคมกรุงเทพฯ ในเรื่องวัตถุ ผมโชคดีที่มีพร้อม แต่มาถึงจุดหนึ่ง ก็พยายามค้นหาในเรื่องชีวิตให้ลึกซึ้งและละเอียดมากขึ้น เหมือนที่ผมบอก ธรรมชาติยิ่งใหญ่มาก ตอนเราไปเดินเทรคกิ้งบนเขา เห็นหิมาลัย เห็นตัวเองอีกมุม เห็นวิถีชีวิตที่เรียบง่ายตามหมู่บ้าน ซึ่งต่างจากที่เราอยู่ จึงเห็นการเชื่อมโยงกับธรรมชาติ
เป็นที่มาของการทำกิจกรรมดีๆ ในส้งคม ?
ผมมาเริ่มทำโครงการทำมะ แล้วจัดงานให้สวนโมกข์กรุงเทพฯ เพื่อให้คนไทยไปเข้าเฝ้าองค์ดาไลลามะในอินเดีย ทั้งพระสงฆ์และฆราวาสกว่าสี่ร้อยชีวิต ผมเป็นคนประสานงานเกือบทั้งหมดกับทางอินเดียและสวนโมกข์ ตอนนั้นใช้พลังและเวลากับโครงการนั้นเยอะมาก ผมเองก็ได้เข้าเฝ้าองค์ดาไลลามะเหมือนทุกคน แต่ผมได้ทำงานที่มีคุณค่า ก็พอแล้ว
ย้อนไปถึงโครงการทำมะเพื่อให้คนปรับเปลี่ยนตัวเองใน 21 วัน ?
ประเด็นหลักของโครงการธรรมะ 21 วันและแอพฯธรรมะคือ ผมอยากเอาธรรมะมาใช้ในมิติที่ไม่ใช่ศาสนาจ๋า เพื่อให้คนรุ่นใหม่หรือคนอายุน้อยกว่าผมที่เบื่อภาษาบาลี หรือวิธีการสอนแบบเดิมๆ ของศาสนา เข้าถึงธรรมะมากขึ้น หลายคนรู้สึกว่าสนุกขึ้น จับต้องได้ เชื่อมโยงกับชีวิตปัจจุบันได้มากขึ้น ผมก็แค่ปรับภาษา ใช้วิธีการใหม่และใช้เทคโนโลยี
ผมคิดว่า ธรรมะมีหลายมิติ ข้อหนึ่ง...เป็นเรื่องด้านในที่มันไปไกล เกินศาสนา เป็นเรื่องสภาวะ เป็นประสบการณ์ของแต่ละคน และไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นสั่งว่า อันนี้ถูกหรือผิด ต้องประสบเองถึงจะรู้ ข้อสอง...ธรรมะในมิติสังคม หน้าที่ของเรา ความถูกต้อง ศีลธรรม ความรู้ในเรื่องความผิดหรือถูก ผมมองว่าคนในสังคมไม่เข้าใจธรรมในมิตินี้ ซึ่งเป็นธรรมในมิติโลกๆ ที่ต้องนำมาใช้กับสังคม เพื่อให้สังคมสงบสุข
วิชาความรู้ที่มหาวิทยาลัยนาโรปะ คุณนำมาใช้กับชีวิตอย่างไร
ที่นั่นเก่งเรื่องการนำเสนอกับคนสมัยใหม่ คือ สิ่งที่ผมได้เยอะมาก การมองโลกที่มันลึกซึ้งมากขึ้น โรงเรียนธรรมดาไม่ค่อยสอน การศึกษาปัจจุบันไม่สนใจเรื่องการรู้จักตัวเอง แต่สอนเรื่องความรู้ที่ใช้กับอาชีพหรือการทำมาหากิน ความรู้ที่เราใช้กับชีวิตประจำวัน แทบจะไม่มีสอน ถ้าเราทะเลาะกับแฟนหรือมีปัญหากับครอบครัว การทำงาน ผมจะจัดการอย่างไร โรงเรียนไม่ได้สอน
แล้วคุณจัดการกับอารมณ์ลบๆ ของตัวเองอย่างไร
ถ้าเกิดอารมณ์ลบๆ อย่าเพิ่งเอาตัวเราเข้าไปคลุกกับอารมณ์เหมือนงูกินหาง จะหาทางออกไม่เจอ ต้องหาพื้นที่ให้ตัวเอง เพื่อจะดูว่าเรื่องนี้จริงไหม สิ่งที่ผมนำมาใช้กับชีวิตประจำวัน ก็ไม่มีอะไรมาก เป็นแค่เทคนิค เป็นเรื่องธรรมดาๆ
พอจัดการกับความรู้สึกได้ รู้สึกอย่างไร
สบายขึ้น มีอารมณ์ขันกับชีวิตมากขึ้น เมื่อก่อนเครียด อยากเปลี่ยนแปลงโลกและชีวิต มันมีความโกรธ ความฉุนเฉียว ความไม่เป็นธรรมที่เห็นโน้นนี่นั่น แต่เราไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นจากอะไร ไม่หลงไปกับอารมณ์นั้น วิธีการที่เรามองอารมณ์เปลี่ยนไป ไม่จมไปกับอารมณ์
ไม่ใช่การคิดบวก ?
ครับ ไม่ใช่ เพราะการคิดบวกเป็นอะไรง่ายๆ แต่มิตินี้ลึกกว่าคิดบวก ผมก็ไม่ชอบใช้คำว่า จิตวิญญาณ มันดูสูงส่งไป อาจใช้คำว่า สภาวะด้านใน ดูสบายๆ สัมผัสได้ ผมมองว่า ถ้าเรามีชุดภาษาที่สูงส่งไป ก็ไม่มีประโยชน์กับชีวิตประจำวัน
คุณก็เลยคิดว่าธรรมะต้องสื่อสารง่ายๆ ?
ธรรมะต้องง่ายๆ เอามาใช้ได้ แต่ไม่ใช่ง่ายแบบเชิงพาณิชย์
ทำไมเรียกตัวเองว่า นักออกแบบการเดินทาง
ตอนนี้ออกแบบการเดินทางไปภูฎาน ญี่ปุ่นและพม่า หลักๆ ผมอยากมีทัวร์เชิงพุทธ ซึ่งไม่ใช่ศาสนาจ๋า คือมีความเป็นศาสนาและเชื่อมโยงกับคนรุ่นใหม่ได้ด้วย ตอนนี้ผมไปภูฎานเกือบทุกเดือน ซึ่งเวลาคนเราเดินทางจะมีความสุข ทุกคนได้มีสัมพันธภาพที่ใหม่ๆ ให้กับตัวเองและคนรอบข้าง ผมมีความสุขที่พาคนไปเที่ยว
เน้นเรื่องวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นในประเทศนั้นๆ ?
ไม่ได้เน้นหนักเรื่องทำบุญ หรือ สร้างสิ่งก่อสร้างในวัดมากมาย อย่างผมไปดูวัดในญี่ปุ่น เพื่อจะพาคนไปเรียนรู้แบบเซนๆ คือ การชงชา จัดดอกไม้ วัฒนธรรมและพุทธแบบญี่ปุ่น ผมมองว่า พวกเขาลึกซึ้งเรื่องความสวยงาม แต่บ้านเราปฎิเสธความงาม ที่นั่นใช้ความงามและศิลปะ ทำให้ตื่นและเข้าใจตัวเอง
การแสวงบุญของคนไทย ส่วนใหญ่เน้นการทำบุญสร้างวัด คุณคิดเห็นอย่างไร
ผมมองเป็นพุทธพาณิชย์ เป็นอะไรง่ายๆ คนไทยทำบุญง่ายๆ คือให้เงิน มันเป็นวิธีการของคนขี้เกียจ การเดินทางแสวงบุญต้องเอาตัวเองเข้าไปลำบากบ้าง แม้กระทั่งการภาวนาที่ลำบากกว่าก็ได้บุญมากกว่า บางทีคนไทยก็ง่ายเกินไป อย่างวงการพุทธศาสนาเงินเยอะมาก แต่น่าตั้งคำถามกับคุณภาพคนและคุณภาพการศึกษา ผมว่ามิติการทำบุญของคนไทย มันไปไม่ลึก
ผมคิดว่า คนเราต้องกล้าตั้งคำถามว่า 1. ทำแล้วได้อะไร เพราะการทำบุญมีหลายรูปแบบ ไม่จำเป็นต้องสร้างวัดอย่างเดียว สิ่งที่ขาดมากที่สุดคือ สร้างคน สร้างความรู้ให้คนในสังคม กลับไปสร้างวัดใหญ่โต บางทีใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ เป็นแค่เครื่องโชว์ว่า พระรูปนั้นศักดิ์สิทธิ แต่ก็เป็นความเชื่อ
ความเข้าใจธรรมที่ต่างกัน ?
คนไทยบางส่วนไม่เข้าใจว่า ธรรมะคือความจริง ความถูกต้อง แค่เรื่องโสเภณี ถ้ามีคนบอกว่าทำไมไม่ทำให้ถูกกฎหมาย ก็มีคนบอกว่า ไม่ได้หรอก เราเป็นเมืองพุทธ เราไม่กล้าเผชิญกับความจริงในการแก้ปัญหา เราติดกับคำว่า เราเป็นเมืองพุทธ แต่เราก็ไม่ได้พุทธขนาดนั้น ก็ฆ่ากัน ยิ่งกันทุกวัน มีโสเภณีมากกว่าพระ นั่นเป็นข้ออ้างว่าเราเป็นพุทธ
เหมือนที่หลายคนบอกว่าต้องเปลี่ยนที่ตัวเองก่อน ?
แต่ก่อนเราก็คิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล เราคิดว่าเราเป็นพระอาทิตย์ โคจรอยู่รอบความคิด บางทีผมก็ยังรู้สึกแบบนั้น การเปลี่ยนแปลงตัวเองต้องใช้เวลาเยอะ ผมเองก็ไม่ได้เปลี่ยนเยอะ แต่มันมีพื้นที่ให้เราตัดสินใจหรือมองอะไรมากขึ้น
ใครเป็นแบบอย่างในชีวิตคุณ
ผมนับถือท่านดาไลลามะ ท่านจะเปิดกว้างในมิติศาสนา ท่านไม่ชอบพิธีรีตอง คุยแบบคนธรรมดาๆ ได้ ผมว่ามีเสน่ห์ เป็นพระอาจารย์ที่คุยด้วยแล้วไม่เครียด สามารถออกไปดื่มกาแฟกับเราได้ เวลาอยู่ใกล้ๆ ทำให้เราอยากเรียนรู้
คุณอยากมีส่วนช่วยพัฒนาสังคมไทยอย่างไร
ผมอยากนำธรรมะมาใช้ในมิติที่ทำให้คนรู้จักตัวเอง มีศีลธรรมมากขึ้น ผมว่า บ้านเราต้องทำเรื่องการฝึกอบรมผู้นำแบบใหม่ ผู้นำที่มีธรรม และธรรมไม่ใช่เชิงศาสนาอย่างเดียว แต่ธรรมที่มีความถูกต้อง มีความอาย รู้จักชั่วดี เรื่องผู้นำผมว่าสำคัญ ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากทำเรื่องการฝึกอบรมผู้นำเป็นงานหลักในอนาคต โดยการเอาหลายๆ คนที่มีความรู้ความสามารถมาเจอกัน เพื่อสร้างผู้นำที่ดี ผมมองว่าเราอยู่ในประเทศที่ล้มเหลว ไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้ว







