'บทเรียน' จาก 'แบบเรียน'

แก่นสารของตำราหรือแบบเรียนคือสอนคน นอกจาก 'ความรู้' ในตำรา ยังมี 'คุณธรรม' ที่สอนใจ ถึงแม้แบบเรียนเหล่านั้นจะถูกถอดออกตามสมัยนิยม
"คิถุงฝุดๆ"
"เขิลจุงเบย"
"น่าร๊อกอ่ะ บ่องตง"
ฯลฯ
สารพัดบทสนทนาบนหน้าจอแชทต่างๆ อาจหมายถึง 'ภาษาวิบัติ' ของหลายคน แต่สำหรับอีกหลายคนก็ยอมรับว่านี่เป็นเพียง 'ภาษาวิวัฒน์' ตามยุคสมัย ดิ้นมาแล้วก็ดิ้นไป ไม่จีรังยั่งยืน...
โดยเฉพาะในวันที่ภาษาไทยถูกจับ 'ขึ้นหิ้ง' ทั้งที่ถูกใช้ทุกวันแต่ก็ไม่วายกลายเป็น 'ของแสลง' ภาษาแม่จึงตกระกำลำบากพร้อมๆ กับเด็กไทยที่ระกำไม่แพ้กัน ตามข้อมูลจากสถาบันสถิติแห่งชาติ เรื่องพฤติกรรมการอ่านหนังสือ พ.ศ. 2554 ที่ว่าคนไทยอายุ 6 ปีขึ้นไป มีอัตราการอ่านหนังสือ ร้อยละ 68.6 เด็กเล็ก (อายุต่ำกว่า 6 ปี) มีอัตราการอ่านหนังสือ ร้อยละ 53.5 ส่วนมากอ่านหนังสือสัปดาห์ละ 2-3 วัน หรือร้อยละ 42.0
หากสถิติดังกล่าวเป็นจริงนั่นอาจกระเทือนไปถึงอีกเรื่อง คือ ทักษะภาษาไทย เหมือนจะเป็นคนละเรื่องแต่ก็เป็นเรื่องเดียวกัน...
กิจมาโนชญ์ โรจนทรัพย์ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ครูลิลลี่ ครูสอนพิเศษภาษาไทยชื่อดัง มองปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นว่า การที่เด็กไทยมีทักษะภาษาไทยกระท่อนกระแท่นไม่ได้เกิดจากเหตุใดเหตุเดียว แต่เป็นทั้งองคาพยพ ทั้งตำรา นโยบาย ครู โรงเรียน ผู้ปกครอง เด็ก เรียกว่าอยากดีต้องดีทั้งหมด เมล็ดพันธุ์ต้องดี น้ำดี ดินดี ปุ๋ยดี
มานี มีโฮ
คงไม่จำเป็นต้องเท้าความไปถึงแบบเรียนภาษาไทยเล่มแรก 'จินดามณี' ที่แต่งขึ้นเมื่อสมัยอยุธยาตอนกลางโดยพระโหราธิบดี เพราะจากวันนั้นจนวันนี้แบบเรียนภาษาไทยเปลี่ยนหน้าตาไปหลายรุ่น แต่สารัตถะของแบบเรียนที่เปลี่ยนโฉมอย่างกับทำศัลยกรรมเป็นว่าเล่น ก็คือสร้างทักษะภาษาไทยทั้งอ่าน เขียน เรียนรู้
โดยเฉพาะแบบเรียนยุคก่อนที่ให้นักเรียนเรียนจากส่วนย่อยไปหาส่วนรวม เรียนจากพื้นฐานไปสู่พัฒนาการด้านภาษาไทย
"ส่วนย่อยในที่นี้คือให้รู้จักตัวอักษร พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ การรู้จักผสมอักษร การแจกรูป พอแจกรูปได้แล้วก็มาเรื่องการผันอักษร อักษรสูง อักษรกลาง อักษรต่ำ เมื่อนักเรียนพอเข้าใจพื้นฐานพวกนี้แล้วก็จะมีให้นักเรียนอ่านข้อความหรือเนื้อหา" รศ.ประพนธ์ เรืองณรงค์ กรรมการวิชาการ ราชบัณฑิตยสถาน กล่าว
ทว่าหลังจากนั้นหนังสือแบบเรียนภาษาไทยได้รับอิทธิพลแนวใหม่จากชาติตะวันตกคือให้นักเรียนเรียนจากส่วนรวมไปหาส่วนย่อย ไม่จำเป็นต้องแจกแจงเรื่องผสมอักษร เรียนเป็นคำเป็นประโยคเลย นั่นคือที่มาของแบบเรียนที่ชื่อว่า เรณู-ปัญญา และตามมาด้วย มานะ มานี ปิติ ชูใจ ไปจนถึงนิทานร้อยบรรทัดของหลวงสำเร็จวรรณกิจ หรือแบบเรียนของโรงรียนเอกชน เช่น ดรุณศึกษา
แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือแบบเรียนที่กำลังถูกพูดถึงอีกครั้งแม้จะถูกถอดไปจากหลักสูตรภาษาไทยนานมาแล้ว อย่าง 'มานะ มานี ปิติ ชูใจ'
รศ.ประพนธ์ บอกว่า มานะ มานี ปิติ ชูใจ เป็นแบบเรียนมีทั้งหมด 12 เล่ม เรียนตั้งแต่ป.1 ถึงป.6 มีตัวละครชื่อ มานะ มานี ปิติ ชูใจ ซึ่งเป็นคำที่ง่ายๆ เด็กเข้าใจ ไม่มีตัวการันต์ เป็นคำไทยๆ และมีท้องเรื่องเหมาะสำหรับเด็ก แต่หนังสือพวกนี้รศ.ประพนธ์ไม่ได้เรียนเพราะตอนที่ มานะ มานี ปิติ ชูใจ กำลังโลดแล่นอยู่ในแบบเรียน ผศ.ประพนธ์ก็โตแล้ว
แต่ครูลิลลี่ได้เรียน...
"มานะ มานี ปิติ ชูใจ ก็เป็นอมตะดีนะ เป็นตัวการ์ตูน ทำให้เวลาเรียนหรือเวลาอ่านเราจะเกิดจินตนาการว่าบ้านมานะ มานี ปิติ ชูใจเป็นอย่างไร เหมือนเราได้อ่านการ์ตูน ได้ฝึกจินตนาการ เพราะความจริงไม่มีให้เห็นว่ามานะ มานี หน้าตาเป็นอย่างไร เด็กแต่ละคนจึงมีภาพไม่เหมือนกันว่าบ้านของมานะ มานี เป็นอย่างไร เหมือนเราได้เรียนแฮรี่ พ็อตเตอร์ตั้งแต่เด็กๆ"
นอกจากสร้างเสริมจินตนาการเพราะเป็นการ์ตูน เนื้อหาของแบบเรียนในตำนานเรื่องนี้ก็ปูพื้นฐานภาษาไทยให้เด็กไทยยุคนั้นอย่างดี แม้แต่ครูลิลลี่ก็มีวันนี้ได้ ส่วนหนึ่งเพราะมานะ มานี ปิติ ชูใจ ผลงานของ อาจารย์รัชนี ศรีไพรวรรณ ผู้ล่วงลับ
"มานะ มานี ปิติ ชูใจ เป็นตัวละครที่ถ่ายทอดเรื่องราวชักนำให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ เข้าใจภาษาไทย เหมือนเรากำลังดูโดราเอมอน ได้สนุกสนานเพลิดเพลิน โดราเอมอนสอนคติธรรม ความนึกคิดด้วย ฉันใดก็ฉันนั้น มานะ มานี ปิติ ชูใจ ก็เป็นตัวละครที่สอนอะไรต่างๆ มากมาย มากกว่าภาษาไทย ความคิดความอ่าน มันเหมือนเป็นวรรณกรรมเล็กๆ เพียงแต่เป็นแบบเรียนหนังสือ การฝึกเขียน ฝึกคำ เสียงที่ออก แต่ละเสียงเป็นคำเป็นคำตายมีอยู่ในชื่อตัวละครทั้งสิ้น"
การถึงแก่กรรมของอาจารย์รัชนี ศรีไพรวรรณ ด้วยวัย 82 ปีนับเป็นความสูญเสียครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของแวดวงภาษาไทย แต่ความสูญเสียนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญด้วย
มานี (อาจ)รีเทิร์น
"มีแนวความคิดใหม่เข้ามา ตัวตั้งตัวตีสมัยก่อนเรียกว่ากรมวิชาการ เขาก็คิดว่าน่าจะปรับปรุงให้ทันสมัยขึ้น" รศ.ประพนธ์ เอ่ยถึงเหตุผลที่แบบเรียนภาษาไทยถูกถอดออกไปอยู่เรื่อย เหตุผลหลักหนีไม่พ้นต้องการ 'ทันสมัย' ทั้งที่แบบเรียนเหล่านั้นอุดม 'คุณธรรม'
กรรมการวิชาการแห่งราชบัณฑิตฯ เล่าว่าแบบเรียน มานะ มานี ปิติ ชูใจ ถูกสร้างขึ้นอย่างตั้งใจ ทั้งแง่ 'คุณภาพ' และ 'คุณธรรม'
"แบบเรียนสมัยก่อนจะมองในแง่ว่าจะทำอย่างไรให้นักเรียนอ่านหนังสือได้เข้าใจ รวดเร็ว และมีเนื้อหาประทับใจ ประทับใจอย่างไร เขาก็มีจิตวิทยาสำหรับเด็ก ทุกเล่มเลยนะ เช่น สมัยก่อน ตัวละครค่อนข้างจะเป็นคนพิการ เช่น ตาหวังหลังโก่ง หนูแหวนแขนอ่อน ที่เป็นอย่างนี้เพราะว่าเขาต้องการให้เด็กเกิดความสงสาร เกิดความเห็นใจ สร้างพฤติกรรมของเด็ก แทนที่จะเป็นคนก้าวร้าวก็อ่อนโยน"
แต่จะกล่าวหาว่าแบบเรียนภาษาไทยยุคใหม่ไม่ส่งเสริมคุณธรรมคงไม่ได้ เพราะครูลิลลี่ยืนยันว่าแบบเรียนยุคนี้มีมาตรฐานแล้ว ปัญหาอยู่ที่ปัจจัยอื่น
"แบบเรียนยังสอนคุณธรรมอยู่ทุกช่วงชั้น แต่คนในสังคมละเลย ปล่อยปละ ไม่ให้ความสำคัญต่อคุณธรรม ฉาบฉวย เอาง่ายๆ เลย เราวัดจากการดูหนังดูละคร ศิลปินดาราต้องหล่อต้องสวยมาก่อน ต้องทำหน้า เสริมความงาม ทุกคนก็เลยมองว่าคนเราต้องสวยหล่อและเอาความสวยความหล่อมายึดเป็นที่ตั้ง แต่ไม่ได้มองเรื่องคุณธรรม ความดีภายใน อย่างนักร้อง ต่อให้เสียงดี ไพเราะอย่างไร แต่ถ้าอ้วน ไม่สวย ไม่หล่อ ดำ ก็จะดังไม่ได้ ทุกคนกำลังเป็นวัตถุนิยมและมองแต่รูปลักษณ์ภายนอก เห็นความงามภายนอกมากกว่าจิตใจ เมื่อคนในสังคมเป็นแบบนี้คุณธรรมจึงถูกปิดถูกกลบ และผู้ใหญ่ในบ้านเมืองทำตัวอย่างอย่างไรให้เด็กเห็น เพราะทุกคนยังเห่อเหิม ยึดติดยศถาบรรดาศักดิ์ ความถูกต้องกลับมองไม่เห็น"
นั่นหมายความว่าผู้ใหญ่เป็นแบบเรียนเล่มหนึ่งก็คงไม่ผิด...
แต่จะด้วยคุณูปการของ มานะ มานี ปิติ ชูใจ หรือเหตุผลใดก็ตาม เมื่อสัปดาห์ที่แล้วหลังจากข่าว 'อาจารย์รัชนีเสียชีวิต' เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) ได้ออกมารับลูก แทงเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ รื้อฟื้นแบบเรียนภาษาไทย มานะ มานี ปิติ ชูใจ รวมไปถึงรวมรวมผลงานของอาจารย์รัชนี โดยชี้แจงว่าเพื่อให้เด็กไทยอ่านออกเขียนได้
"รื้อฟื้นเพราะอาจารย์รัชนี เสียชีวิตแล้วไง บ้านเราทุกอย่างเป็นกระแสทั้งนั้นเลย อะไรดังอะไรมีข่าว นี่แหละเป็นกระแส" ครูลิลลี่บอก
นอกจากนั้นยังยกตัวอย่างด้วยว่ารางวัลลูกกตัญญู ลูกดีเด่น บุคคลที่ได้รับก็สมควรอยู่ส่วนหนึ่ง แต่ถ้าเขาไม่ใช่คนดังจะได้รับอย่างนั้นหรือไม่ ถ้าเป็นลูกชาวบ้านแต่กตัญญูหรือเป็นเด็กดีอีกเป็นแสนเป็นล้านคนกลับไม่ได้รับเลือก การเสียชีวิตของอาจารย์รัชนีจึงเป็นกระแสอย่างหนึ่งให้คนมาสนใจ อีกสามสี่ปีก็อาจหายไป
"ถ้าถูกรื้อฟื้นจริงๆ ก็เป็นหนังสือ เป็นหลักสูตรเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนหน้าตา ไม่ได้เกิดอะไรมากมายหรอก มันก็เหมือนธรรมะ จะเปลี่ยนบทเปลี่ยนหัวข้ออยู่ที่คนปฏิบัติมากกว่า คุณได้ปฏิบัติเช้าเย็นหรือเปล่า ตั้งใจปฏิบัติเวลามีสติหรือเปล่า นั่นแหละคุณถึงได้เข้าสู่ธรรมะ เหมือนหนังสือแบบเรียน จะเปลี่ยนหน้าไหนมันก็คือภาษาไทยเหมือนกัน อยู่ที่คนเอาไปใช้ได้ใช้จริงหรือเปล่า นี่แหละที่สำคัญ"
ด้าน รศ.ประพนธ์ แสดงความคิดเห็นถึงเรื่องนี้ว่าถ้า มานะ มานี ปิติ ชูใจ จะถูกรื้อฟื้น ก็สมควรมีแบบเรียนอื่นๆ ถูกรื้อฟื้นเช่นกัน เช่น เรณู-ปัญญา, นิทานร้อยบรรทัด เพราะแบบเรียนเหล่านี้จะแก้ปัญหาเด็กไทยไม่แน่นการผสมอักษร การแจกแจงคำ เมื่อแน่นเรื่องพวกนี้ก็จะเรียนแบบเรียนหรืออ่านหนังสือได้สบายๆ
ในมุมมองของครูลิลลี่ วรรณคดีไทยที่ถูกหลงลืมจากสารบบการศึกษาควรค่าแก่การ 'ปลุก' ที่สุดด้วย
"น่าจะนำสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นรากเหง้าของคนไทย รากเหง้าของคนโบราณเขาสอนอย่างไร การวางตัว การรับใช้เจ้านายเป็นอย่างไร สอนการเป็นกษัตริย์ สอนการเป็นอำมาตย์ สอนเป็นข้าราชบริพาร สอนความเป็นกุลสตรี สอนความเป็นบุรุษ การเลี้ยงดูลูกเต้า การพูดการจา คนโบราณเขาสอนหมดเลย เราต้องเอามารื้อฟื้นว่าเรามีรากเหง้า เรามีวัฒนธรรม"
เรื่องของ 'แบบเรียน' จึงจำเป็นต้อง 'ถอดบทเรียน' มิเช่นนั้น 'ภาษาวิวัฒน์' อาจเป็น 'ภาษาวิบัติ' แล้วจะพา 'รากเหง้าวิบัติ' ไปด้วย...บ่องตง







