เพลงของพ่อ

เพลงของพ่อ

ประเทศไทยโชคดีเพียงใด ที่มี พระเจ้าแผ่นดิน ทรงพระปรีชาสามารถรอบด้าน โดยเฉพาะด้านดนตรี

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เริ่มสนพระราชหฤทัยดนตรีตั้งแต่ทรงพระเยาว์ พระองค์ท่านไม่เคยละทิ้งเสียงเพลงเสียงดนตรีเลย แม้กระทั่งปัจจุบันบทเพลงเสนาะหู ยังคงก้องดังในพระราชหฤทัย และแน่นอนว่ายังกังวานไกลไพเราะจับใจชาวไทยเสมอมา

เป็นที่รับรู้กันว่า บทเพลงอันไพเราะย่อมเกิดจากฝีไม้ลายมือนักดนตรี หากผู้ช่ำชองคีตศิลป์เหล่านี้รวมตัวกันแล้ว มีแต่จะเกิดบทเพลงแสนไพเราะทวีคูณ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของอาณาประชาราษฎร์ก็ทรงเป็นนักดนตรีที่มีพระปรีชาสามารถมาก ทั้งยังทรงก่อตั้งวงดนตรี รวบรวมนักดนตรีที่มีฝีมือไว้ร่วมเล่นดนตรีกัน ทรงผ่อนคลายพระอารมณ์ และเพื่อกิจการงานแผ่นดิน

กวี อังศวานนท์ หนึ่งในนักดนตรีที่มีโอกาสติดตามรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทในฐานะพระสหายทางคีตกรรม ตลอดระยะเวลาที่เขาได้ร่วมบรรเลงบทเพลงพร้อมกับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เขาได้เห็นและรับรู้ถึงพระปรีชาสามารถด้านดนตรีและพระราชไมตรีซึ่งเกินกว่าที่พสกนิกรตัวเล็กๆ เช่นเขาจะคาดฝัน

-1-

ราวปี พ.ศ. 2500 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี จะมีพระประสูติกาล เวลานั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มีพระราชโอรสอยู่พระองค์เดียว ชาวไทยและนิสิตจุฬาฯ ต่างลุ้นกันว่าจะเป็นพระราชกุมารหรือพระราชกุมารี

"ในวันนั้น พระองค์ท่านทรงนำวงดนตรีลายครามมา ซึ่งเป็นวงดนตรีที่มีมาตั้งแต่แรก สมาชิกวงดนตรีส่วนมากเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ มีสามัญชนอยู่ด้วย สามัญชนคนแรกที่เข้าร่วมกับพระองค์ท่านคือ อาจารย์แมนรัตน์ ศรีกรานนท์ ปัจจุบันท่านมียศเป็นเรืออากาศตรี อาจารย์เป็นศาสตราจารย์ทางด้านดนตรี ท่านก็อยู่ด้วย"

หลังจาก กวี เข้าศึกษาที่จุฬาฯ เขามีโอกาสร่วมเล่นดนตรีกับ วง สจม (สโมสรจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) ซึ่งปีนั้น (พ.ศ. 2499) เป็นปีแรกที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก่อตั้งวง big band ซึ่ง กวี เป็นสมาชิกคนหนึ่งในวง ขณะเดียวกันมีสถานีวิทยุ อ.ส.วันศุกร์ พระองค์ท่านโปรดเกล้าฯ ให้วงดนตรีของมหาวิทยาลัยไปเล่นออกอากาศที่สถานีวิทยุ อ.ส.ทุกวันศุกร์ สลับกันไป

"รู้สึกว่าที่ เกษตรฯ (มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) เขามีวงดนตรีวงใหญ่ก่อนเรา เราก็เข้าไปร่วมด้วย ทุกวันศุกร์ที่เราเข้าไป จะไปเล่นก่อน พอเราเล่นจบ วงดนตรีลายครามก็เล่นต่อ ช่วงที่เราออกจากห้องส่ง วงดนตรีของพระองค์ท่านจะเข้ามา ก็สวนกันตอนนั้น"

หลายครั้ง นักดนตรีของวงลายครามมาไม่ครบ วงของอาจารย์แมนรัตน์ จะจัดคนเข้าไปเสริมร่วมเล่นกับวงด้วย กระทั่งวันหนึ่งวงลายครามขาดมือ saxophone อาจารย์แมนรัตน์ จึงเรียก กวี เข้าไปเล่นแทน ทว่า..เมื่อเขาเห็นพระพักตร์พระองค์ท่าน จึงเกิดอาการประหม่า

"ตอนเข้าไปใหม่ๆ ผมก็เป่าไม่ออก ไม่กล้าเป่า ไปนั่งอยู่กับพระองค์ท่าน กลัวเป่าผิดๆ ถูกๆ แล้วพระองค์จะดุเอา แต่พระองค์ท่านไม่ดุ ไม่ว่าอะไร ใครจะเล่นอย่างไรก็ไม่ว่า นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสเข้าไปร่วมวงกับพระองค์ท่าน"

ภายหลัง สมาชิกวงดนตรีลายครามเริ่มขาดหาย ทั้งด้วยความชราและเหตุผลต่างๆ นานา กวี และนักดนตรีวงจุฬาฯ หลายคน จึงได้ร่วมเล่นเป็นประจำ ในที่สุดพวกเขาตัดสินใจถวายตัวเล่นประจำ นับแต่นั้นมา เขาคือ สมาชิกวง อ.ส.วันศุกร์ จวบจนปัจจุบันก็กว่า 50 ปีแล้ว

-2-

วงดนตรี อ.ส.วันศุกร์ เป็นวงดนตรีที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงก่อตั้งด้วยพระองค์เอง หลังจากพระองค์ท่านเสด็จกลับมาจากต่างประเทศ เป็นที่ทราบกันดีว่า พระองค์ท่านทรงรักดนตรี ครั้งที่ประทับอยู่ต่างประเทศพระองค์ท่านก็ทรงดนตรี ทรงเรียนดนตรี เครื่องดนตรีประจำพระองค์ท่าน คือ saxophone

กวี เล่าว่า พระองค์ท่านสนุกกับ saxophone และโปรดเพลง jazz มาก พระองค์ท่านสนพระราชหฤทัยด้านดนตรีมาตลอด โดยธรรมชาติของคนเล่นดนตรีจะอยู่เฉยมิได้ จึงหาทางรวมวงดนตรี

"พระองค์ท่านชักชวนพระบรมวงศานุวงศ์มาเล่นดนตรีด้วย เล่นได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ตอนหลังพระองค์ท่านได้ อาจารย์แมนรัตน์ ที่ค่อนข้างจะเป็นมือโปร พระองค์ท่านก็ทรงสนุก ตอนนั้นเรียกว่าวงดนตรีลายคราม จนมาเรียกว่าวงดนตรี อ.ส.วันศุกร์ เพราะออกอากาศทางสถานีวิทยุ อ.ส.ในวันศุกร์ และ อ.ส.มาจากคำว่า อัมพรสถาน พระราชวังดุสิต"

สมัยก่อน ทูตอเมริกันถวายเครื่องส่งสัญญาณวิทยุแด่พระองค์ท่าน กำลังส่งเพียง 100 วัตต์ กระจายสัญญาณได้ในระยะสั้นๆ เฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร กวี เล่าว่าพระองค์ท่านทรงเลือกเพลง เพื่อเปิดออกอากาศเองทุกวันศุกร์ และสมัยก่อนก็ยังไม่มีใครทราบว่าวงดนตรี อ.ส. วันศุกร์ มี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร่วมทรงดนตรีด้วย ใครจะขอเพลงอะไรก็เล่นให้ทั้งนั้น ประกาศเบอร์โทรศัพท์ทางวิทยุ จะขอเพลงอะไรก็ขอมาได้ แต่ภายหลังประชาชนทราบว่ามี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงร่วมดนตรีด้วย คนจึงหันมาฟังกันมาก

"ตอนนั้นวง อ.ส. วันศุกร์ ดังมาก มีคนโทรมาขอเพลงเยอะ พระองค์ท่านมีแฟนเยอะ"

แม้ว่า กวี จะเข้าร่วมวงดนตรีของพระองค์ท่านแล้ว แต่พระองค์ท่านคือ กษัตริย์ ระยะห่างและความกริ่งเกรงย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา

"ทุกคนที่ได้เข้าร่วมวง ถวายตัวเล่นวงดนตรีกับพระองค์ท่าน ถือว่าได้รับพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงสุด เพราะเราได้ใกล้ชิดพระองค์ท่าน พระองค์ท่านประทับอยู่อย่างไร เราก็นั่งอยู่อย่างนั้น ไม่ต้องนั่งกับพื้น พระองค์ท่านประทับบนพระเก้าอี้ เราก็นั่งเก้าอี้ เพราะเราต้องเล่นดนตรี สำหรับผมมีอยู่ 2 สถานะ คือ สถานะที่เป็นผู้รักษาทรัพย์สินส่วนพระองค์ ที่พระองค์ท่านโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และอีกสถานะหนึ่งคือ เป็นนักดนตรีวง อ.ส.วันศุกร์

เมื่อก่อน ไม่ว่าพระองค์ท่านจะเสด็จพระราชดำเนินไปไหน เราก็ตามไปตลอด แต่ไปบ่อยคือที่หัวหิน พอวันศุกร์ก็ขับรถไปกัน แล้วก็ร่วมเล่นดนตรีกับพระองค์ท่าน บางทีก็เป็นวันอาทิตย์ ตกเย็นก็กลับกัน เชียงใหม่ก็เคยไปเฝ้าฯ สมัยก่อนพระองค์ท่านทรงไปประทับอยู่ที่เชียงใหม่ช่วงเดือนพฤศจิกายน พระองค์ท่านขึ้นไปทรงงานถึงเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ก็เสด็จพระราชดำเนินกลับ ช่วงปีใหม่ก็ให้ไปเฝ้าฯ ที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ เราก็ไปถวายดนตรีที่นั่น"

-3-

โอกาสพิเศษต่างๆ อาทิ วันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม และ 12 สิงหาคม รวมทั้งวันครบรอบอภิเษกสมรส ทั้งสามวันนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะร่วมทรงดนตรีในงานฉลอง โดยจะทรงผลัดเปลี่ยนไปยังที่ต่างๆ ตามแต่พระราชประสงค์ของ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

"พอหน้าร้อน พระองค์ท่านจะแปรพระราชฐานจากกรุงเทพฯ เสด็จประทับที่พระราชวังไกลกังวล วันที่ 28 เมษายน เป็นวันฉลองอภิเษกสมรส พระองค์ท่านจะทรงดนตรี มีแขกข้างนอกเข้ามาด้วย พระองค์ท่านทรงเชิญให้มาร่วมงาน มีพวกผู้หลักผู้ใหญ่ มีนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี แม่ทัพนายกองต่างๆ พวกเราก็เล่น เป็นวันที่สนุกสนานมากที่สุด พระองค์ท่านทรงดนตรีตั้งแต่หัวค่ำจนถึงเช้า อยู่ที่หัวหินนั่น ถือว่าเป็นวันพักผ่อน ก็เป็นวันที่ทุกคนมีความสุข เพราะเป็นวันครบรอบอภิเษกสมรส สมัยก่อนทรงดนตรีไม่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมง พระองค์ท่านโปรดมาก"

กวี เล่าว่า ก่อนพระองค์ท่านจะทรงดนตรี จะทรงจัดที่ประทับให้เหมาะกับพระราชประสงค์ เวลาทรงดนตรีจะประทับพิงพระเก้าอี้ ขณะที่พระองค์ท่านทรงดนตรีเป็นช่วงเวลาที่พระองค์ท่านทรงมีความสุขที่สุด ได้ทรงพักผ่อนพระราชอิริยาบถ

"ผมว่าพระองค์ท่านมีความสุขมากครับเวลาทรงดนตรี พระองค์ท่านทรงผ่อนคลาย ทรงได้พักผ่อนจากการทรงเล่นดนตรี เวลาทรงเล่นดนตรีเห็นหลายครั้งแล้ว ก่อนจะทรงเล่นดนตรี พระพักตร์ของพระองค์ท่านดูไม่ค่อยดีนัก ไม่รับสั่งอะไรเลย แต่พอได้ทรงดนตรีไปสักเพลงสองเพลงก็ทรงผ่อนคลาย พระพักตร์มีรอยพระสรวลและมีพระอารมณ์แจ่มใสทุกครั้งเลยครับ"

ยิ่งพระองค์ท่านได้ทรงเล่นเพลงประเภท Dixieland Jazz จะทรงมีความสุขมาก โดยเฉพาะเพลง Petit Fleur ซึ่งทรงบรรเลงด้วย alto saxophone เครื่องดนตรีที่โปรด ผู้ได้ยินยลต่างยอมรับว่าไพเราะจับใจมาก

ศิลปิน Dixieland Jazz ที่พระองค์ท่านโปรดมีด้วยกันหลายคน กวี บอกว่าเท่าที่ทราบ คือ ซิดนีย์ แบร์เช (Sidney Bechet) เท็ดดี บัคเนอร์ (Teddy Buckner) เมซซ์ เมซโกร (Mezz Mezzrow) และ ราล์ฟ จอห์นสัน (Ralph Johnson)

นอกจาก alto sax ที่โปรดที่สุด พระองค์ท่านยังทรงเครื่องดนตรีได้อีกหลายประเภท อาทิ piano, guitar, trumpet, clarinet, saxophone โดยเฉพาะ saxophone

"saxophone มีหลายชนิดนะครับ ที่พระองค์ท่านทรงถนัดที่สุด คือ alto sax กับ clarinet นอกนั้น พระองค์ท่านก็ทรงเล่นได้ แต่ไม่คล่องแคล่วเท่า ถือเป็นพระปรีชาสามารถมากด้านดนตรีเลยนะครับ" กวี กล่าว

-4-

เหตุที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระปรีชาสามารถมากด้านดนตรี อาจเป็นเพราะพระองค์ท่านสนพระราชหฤทัยและศึกษาอย่างจริงจังตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ขณะที่พระองค์ท่านประทับอยู่ ณ กรุงโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงศึกษาดนตรีกับพระอาจารย์ชาวต่างประเทศ พระองค์ท่านโปรด saxophone เหมือนพระเชษฐา (พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล) ดังนั้นจึงต้องแบ่งปันกันเล่น เพราะมีเพียงชิ้นเดียว

"ที่ไม่ได้ซื้อคนละเครื่อง เพราะว่า สมเด็จย่า (สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) พระองค์ท่านทรงประหยัดมาก หากจะซื้อเครื่องดนตรี พระองค์ท่านไม่ซื้อให้นะครับ พระองค์ท่านทรงบอกให้สองพระองค์เก็บเงินร่วมกันก่อน ค่าขนมที่ได้ให้เก็บไว้ สมมติว่าค่า saxophone 500 ดอลลาร์ สองพระองค์ต้องเก็บให้ได้ 250 ดอลลาร์ สมเด็จย่าออกให้ 250 ดอลลาร์ เพื่อทรงสอนพระราชโอรส เรื่องนี้คนสามัญน่าจะเอาเป็นตัวอย่าง"

กวี เล่าต่อว่า สิ่งที่ สมเด็จย่า ทรงสอนพระราชโอรส ทำให้พระองค์ท่านเป็นพระมหากษัตริย์ที่พอเพียง รู้คุณค่าของสิ่งต่างๆ

"พระองค์ท่านรับสั่งว่า การให้เฉยๆ มันไม่มีคุณค่า ต้องให้เขามีส่วนร่วมด้วย เขาถึงจะรู้ว่าของนี้มีคุณค่า กว่าจะได้มาแต่ละอย่างมีความยากลำบาก สมเด็จย่าไม่ได้ตระหนี่ แต่อยากให้อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ให้ขออย่างเดียว พระองค์ท่านทรงสอนให้พระราชโอรสออกส่วนหนึ่ง แล้วพระองค์ท่านถึงจะทรงออกให้ เหมือนเป็นการปลูกฝัง"

ถึงแม้ว่า พระองค์ท่านจะทรงประหยัดมาก ทว่าเครื่องดนตรีสากล อย่าง saxophone หรือ clarinet นั้น มีราคาแพง ไม่ว่ารุ่นใด ยี่ห้อใด ล้วนมูลค่าสูงทั้งสิ้น โดยเฉพาะยี่ห้อที่พระองค์ท่านโปรด ถือว่าเป็นยี่ห้อชั้นแนวหน้า

"เท่าที่เห็นมานะครับ อย่าง clarinet, saxophone ไม่เห็นพระองค์ท่านทรงใช้ยี่ห้ออื่นเลย เห็นแต่ยี่ห้อ เซลเมอร์ (Selmer) อย่างเดียว มีคนถวายยี่ห้ออื่น พระองค์ท่านไม่โปรด saxophone และ clarinet มีหลายเกรด เครื่องดนตรีของพระองค์ท่านเป็นท็อปเกรด ดีที่สุด"

พระปรีชาสามารถของพระองค์ท่านเหลือคณานับ ถึงแม้ว่า กวี จะร่วมเล่นดนตรีกับพระองค์ท่านในวงดนตรีสากล เขาก็ยังเห็นมุมหนึ่งซึ่งคนไทยน่าจะภาคภูมิใจ คือ พระองค์ท่านทรงฟังดนตรีทุกประเภท ไม่เว้นแม้เพลงไทย ทั้งลูกทุ่งและไทยสากล อีกทั้งพระองค์ท่านยังทรงบรรเลงบทเพลงเหล่านั้นด้วย เช่น เพลงส้มตำ คู่กัด แสบหัวใจ ฯลฯ

ไม่เพียงเท่านี้ พระองค์ท่านยังทรงพระราชนิพนธ์บทเพลงไว้มากมาย บางบทเพลงช่างคุ้นหู บางบทเพลงสะท้อนตัวตนอันกล้าหาญของคนไทย อาทิ เพลงเราสู้

กวี เปิดเผยว่า พระองค์ท่านทรงบรรเลงครั้งแรกที่พระราชวังบางปะอิน ทรงร่วมบรรเลงโดยการทรงแต่งนิดแต่งหน่อย จนพระราชนิพนธ์เสร็จในวันนั้นเลย คล้ายการสังสรรค์ทางดนตรี

ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปี พระปรีชาสามารถทางด้านดนตรี ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ประจักษ์แก่สายตา กวี อังศวานนท์ แต่สิ่งที่เขาซาบซึ้งยิ่ง ก็คือ พระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นที่พระองค์ท่านพระราชทานให้แก่พระสหาย รวมทั้งพสกนิกรชาวไทยทุกคน

"จะเป่าผิดเป่าถูก พระองค์ท่านไม่เคยมีรับสั่งบ่นหรือต่อว่า ปล่อยให้เราเล่นตามสบาย ทำให้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงพระเมตตาแก่พวกเรา และประทับใจที่พระองค์ท่านทรงพระปรีชาสามารถมากทางด้านดนตรี ทั้งยังทรงสอนพวกเราด้วย เรื่องดนตรีพระองค์ท่านไม่ทรงหยุดศึกษา การศึกษาของพระองค์ท่าน คือ การฟังและการถามจากนักดนตรีระดับสูง"