ชัยวัฒน์ บุนนาค กับ...วิชาซ่อมแซมชีวิต

ชัยวัฒน์ บุนนาค
กับ...วิชาซ่อมแซมชีวิต

ครูคนนี้ไม่ได้มีหน้าที่สอนให้คนฉลาดอย่างเดียว ยังช่วยซ่อมแซมชีวิต สอนให้รู้คิด เข้าใจชีวิต มีวิสัยทัศน์

แม้พ่อของเขา พีร์ บุนนาค จะเคยเป็นนักไฮปาร์ค และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่อาจารย์ดร.ชัยวัฒน์ บุนนาค อดีตอาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็ไม่ได้เดินบนเส้นทางนั้น เขาเป็นแค่อาจารย์ตัวเล็กๆ ทำงานเงียบๆ มานานกว่า 30 ปี แม้ปัจจุบันจะเกษียณอายุแล้ว แต่ยังสอนวิชานักศึกษากับการพัฒนาตน ซึ่งเขาปลุกปั้นคิดหลักสูตรเองเมื่อ 20 ปีที่แล้ว จะเรียกว่า วิชาชีวิตก็ว่าได้ เพราะวิชานี้่แหละที่ทำให้นักศึกษารู้จักตัวเองในแบบที่เขาเป็น

สิ่งที่หลอมรวมกันเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เขาคิดขึ้น มาจากประสบการณ์ทั้งชีวิตที่โลดแล่นในโลกใบนี้ 13 ปีกับชีวิตในฝรั่งเศสเรียนปริญญาโทสองใบ (เศรษฐศาสตร์ชนบท /ด้านประวัติศาสตร์และสังคมศึกษา) และปริญญาเอกด้านประวัติศาสตร์ แต่เรียนหนังสือแค่ 5 ปี ส่วนอีก 7 ปีกว่าๆ ใช้ชีวิตข้างถนน แสวงหา ทำงานทุกรูปแบบ ประหนึ่งศิลปินและนักคิด โดยเข้าร่วมกับองค์กรนานาชาติ เพราะอยากเปลี่่ยนแปลงโลกในช่วงสงครามเวียดนาม

ล่าสุดเขาบอกว่า ชีวิตนี้จะสอนหนังสือจนวันตาย เพราะระบบการศึกษาที่เห็นและเป็นอยู่ มันห่วยแตก ทำให้คนโง่และไม่รู้จักตัวเอง นอกจากวิชาเล็กๆ ที่นักศึกษาทุกชั้นปีมีสิทธิเลือกเรียน หรือเรียนเพื่อเอาเกรด แต่นั่นก็ทำให้พวกเขาได้มีชั่วโมงค้นหาความหมายของชีวิต นอกจากนี้ครูคนนี้ยังทำศูนย์การเรียนรู้พีราศรมแบบง่ายๆ ที่เมืองสุพรรณบ้านเกิด เปิดโอกาสให้เด็กเล็กประถม มัธยมในหมู่บ้านวังจิก อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี ได้มีโอกาสเรียนรู้แบบบูรณาการ โดยมีลูกศิษย์ธรรมศาสตร์สืบทอดเจตนารมณ์ช่วยสอนในวันเสาร์-อาทิตย์

แทนที่ครูคนนี้จะใช้ชีวิตสบายๆ หลังเกษียณ แต่ทำไมเขายังอยากช่วยซ่อมแซมชีวิตเด็กๆ รุ่นเจนวายจุดหนึ่ง จุดสอง จุดสาม ให้รู้จักตัวเอง และสอนเด็กตัวเล็กๆ ให้รู้จักกระบวนการเรียนรู้ที่ใช้ได้จริง

ที่บอกว่า 7 ปีกว่าในฝรั่งเศสคือ การแสวงหา ไม่เรียนหนังสือเลย แล้วอาจารย์ใช้ชีวิตอย่างไร
ขอย้อนไปสักนิด มีอาจารย์คนหนึ่งที่ทำให้ครูมีวันนี้ เราชอบอาจารย์เพราะอาจารย์สวย ตอนนั้นเธอบอกว่า ให้ไปสอบทุนสถานทูตฝรั่งเศส เรามีประสบการณ์การทำค่าย มีความฝันมีโครงการที่เคยทำ ก็ไปเล่าความฝันว่าอยากกลับมาเป็นนักพัฒนาสอนหนังสือชนบทในเมืองไทย จนครูได้ทุนไปเรียนฝรั่งเศส ตอนเรียนปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์ชนบท ตอนนั้นเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา ก็เลยเลิกเรียน ไปทำงานด้านรณรงค์ปลดปล่อยนักโทษการเมือง แล้วก็กลับไปเรียนใหม่ด้านประวัติศาสตร์ จนจบปริญญาเอก

มีเพื่อนคนไทยที่ซ้ายสุดขอบ มันบอกว่า มึงจะกลับไปเป็นควายในห้องเย็นหรือ ลืมคนยากคนจนแล้วหรือ จะรู้แค่ทฤษฎีอย่างเดียวหรือ การถูกท้าทายตอนนั้น ทำให้ผมตั้งคำถามกับชีวิต วิธีการอันนี้ครูเองเอามาใช้กับลูกศิษย์ เขาเรียกประสบการณ์การท้าทายหรือการเคาะกะโหลก แต่สิ่งที่ผมเรียนรู้ที่ฝรั่งเศสคือ การเรียนรู้ในท้องถนน เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่ง ต้องการเปลี่ยนแปลงโลกเลยนะ ไม่ได้แค่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย และตอนนั้นอยู่กินกับผู้หญิงอเมริกัน ความคิดอลังการมาก แต่องค์กรที่คิดจะเปลี่ยนแปลงโลกที่เราเข้าไปร่วม มันไม่เป็นอย่างที่คิด ดูเข้มงวดเกินไป ถ้าจะเปลี่ยนแปลง มันต้องเป็นขั้นตอน

ช่วง 7 ปีในฝรั่งเศส ผมไม่เรียนเลย ชีวิตที่เคยอยู่ในกรง เปิดออก มีโลกทั้งโลกให้ค้นพบ ครูทำงานทุกอย่างเพื่อดำรงชีพ ขายไอติม ขายหนังสือพิมพ์ รับจ้างแจกใบปลิว เป็นกุ๊ก ฯลฯ เพราะเรามีพันธกิจ ตอนนั้นเราเข้าร่วมกับองค์กรนานาชาติที่เป็นงานการเมือง มีคนหลากหลายชาติที่มีความฝันอันเดียวกัน เราก็ไปพูด ทำกิจกรรม ตอนนั้นเราก็นึกว่า เป็นองค์กรที่ทำจริงจังในการเปลี่ยนแปลงสังคม แต่พอเข้าไปก็เผด็จการ ครูก็คิดว่ามันไม่ใช่ เป็นประชาธิปไตยแบบเผด็จการที่เราเจอในระบบการเมืองปัจจุบัน สั่งจากข้างบน ซึ่งตอนนั้นเราเป็นมือใหม่เข้าไป เราไม่มีประสบการณ์ ไม่ต่างจากนักศึกษายุค 6 ตุลา มีความเร่าร้อนอยากทำดี

อยู่ที่นั่นจนเข้าใจวิธีคิดแบบฝรั่งเศส ?
ตอนผมไปฝรั่งเศส ก็คิดว่า คนฝรั่งเศสไม่มีมรรยาท มันเถียงกันซึ่งๆ หน้า คนไทยไม่เถียงกันแบบนั้น เวลาเถียงกัน ถ้าคนไทยเงียบ คนก็คิดว่าเป็นสุภาพบุรุษเป็นผู้ดี ผมว่ามันไม่ใช่ ลึกๆ คือความไม่กล้า ถูกสอนให้จำนน กลัวที่จะพูดความจริง นั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ครูตั้งใจว่า ต่อไปนี้เวลาฉันพูดกับคนฝรั่งเศส ฉันจะพูดให้ดังกว่า เร็วกว่า มีเหตุผลกว่าคนฝรั่งเศส เมื่อเราทำแบบนั้น มันก็ฟัง ไม่ต้องมานั่งเกริ่นให้มากความ

ตอนนั้นเลือกที่จะเป็นซ้ายหรือขวา ?
อยากเป็นคนดี อยากทำอะไรที่มีความหมายของชีวิต เพราะสมัยเรียนในเมืองไทย ปิดเทอมผมก็ไปค่ายอาสาตลอด พอไปเรียนและใช้ชีวิตในฝรั่งเศส ผมก็ไม่คิดจะกลับเมืองไทย แต่นึกถึงเด็กๆที่อยู่ริมแม่น้ำโขง หรืออยู่ในที่ต่างๆ ก็คิดว่า “ถ้าฉันกลับมาเมืองไทย ฉันต้องเป็นประโยชน์” ครูเองก็โตมาเห็นพ่อเป็นนักการเมือง ครูเห็นพ่อด่ารัฐบาล พ่อ(พีร์ บุนนาค) เป็นคนแรกๆ ที่เป็นกบฏอดข้าว กระบวนการไฮปาร์ค พ่อเคยถูกจับขังไว้ที่สันติบาล เราก็อยากทำประโยชน์บ้าง

พอคิดจะกลับเมืองไทย เจอผู้หญิงคนหนึ่ง(ภรรยา) เคยทำกิจกรรมด้วยกัน หน้าตาก็ดี ภาษาก็เก่ง บอกว่าจะกลับไปเป็นไกด์ข้างถนน ครูก็คิดว่า เราน่าจะมีประโยชน์มากกว่านั้น ดีกว่าเป็นไกด์ หลอกฟันเงินฝรั่ง อาชีพอะไรที่ทำให้เราตอแหล ครูรับไม่ได้ เราก็เลยกลับมาเรียนหนังสือต่อ ครูเรียนปริญญาเอก เธอเรียนปริญญาโท แต่เธอกลับมาก่อน โดยยื่นคำขาดว่า ให้เวลาครูสองปี ถ้าเธอไม่จบปริญญาเอก พันธกิจของเราเลิกกัน เพราะเธอรู้ว่า ครูออกติสๆ และครูรักเขาก็ต้องรีบเรียนให้จบ ตอนเรียนปริญญาเอก ครูแค่เกือบได้เกียรตินิยม เพราะชอบทำกิจกรรม เล่นดนตรี แต่งเพลง ร้องเพลง ออกจะศิลปินสักนิด ชอบทำอะไรที่เติมเต็มให้กับชีวิตตัวเอง

เมื่อรู้ว่า เปลี่ยนแปลงโลกไม่ได้หรอก ก็เลยหันมาเปลี่ยนแปลงสังคมเล็กๆ แล้วทำได้แค่ไหน
โลกมันเปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอก ครูก็เจ็บปวดเหมือนกัน เข้าใจความรู้สึกคนเข้าป่าในยุคนั้น สิ่งที่เราคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงโลก แต่ถูกโลกเปลี่ยนแปลง ก็เลยต้องมานั่งทบทวน ทำในสิ่งที่พอทำได้ ในยุคนั้นก็มารณรงค์ให้ปลดปล่อยนักโทษการเมือง ทำหนังสือพิมพ์ ฝึกเขียนทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส เป็นกลุ่มคนไทยในฝรั่งเศส จนเมื่อกลับมา กว่าจะได้เป็นอาจารย์ ก็ถูกเช็คประวัติการเมือง ในสภาของคณะ ครูชนะโหวตแค่คะแนนเดียวให้สอนหนังสือได้ ตอนนั้นเขี้ยวเล็บของเราไปทางสันติแล้ว เพราะครูได้ค้นพบแล้วว่า การปฎิวัติโลกไม่ใช่คำตอบ และเราถูกหลอกทั้งซ้ายและขวา

เห็นบอกว่า 7 ปีแรกของการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เจ็บปวดกับระบบการศึกษามาก ?
ระหว่างที่สอนภาควิชาประวัติศาสตร์รู้สึกอึดอัด เพราะกระบวนการเรียนรู้เป็นเลคเชอร์ เราไม่ได้รู้จักลูกศิษย์ของเราเชิงลึกเลย พบพวกเขาด้านหน้า ที่เก่า เวลาเดียว 7 ปีของการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเจ็บปวดมาก นี่คือกระบวนการเรียนรู้หรือ มันไม่ใช่นี่หว่า มันเป็นการศึกษาที่มีรูปแบบ แต่ไม่ได้ทำให้เด็กเรียนรู้อะไรจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาชีวิต ผมก็เลยรู้สึกว่า ต่อไปนี้ผมจะไม่สอนเด็กแบบเชิงขวาง แต่จะต้องรู้ที่มาที่ไปของเด็กๆ ด้วย

เพราะเราพบว่า ระบบการศึกษาตั้งแต่ประถมถึงมัธยม มันห่วยแตก ไม่สร้างคน และทำลายคน ก็เลยคิดว่า แล้วฉันจะทำให้มนุษย์เกิดการเรียนรู้จริงๆ ไม่ใช่การศึกษาที่เอาปริญญา มันต้องเป็นกระบวนการทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน เพราะการศึกษาทำให้คนกลายเป็นหุ่นเป็นเครื่องจักร ขาดวิธีคิด เพราะฉะนั้นเมื่อมาถึงจุดนี้ ผมก็เลยมองการศึกษาในความหมายใหม่ คือ กระบวนการเรียนรู้ที่จะต้องมีการบำบัดก่อน ก็คือ บำบัดโรคที่ติดมากกับเด็กตั้งแต่ประถมถึงมัธยม

บำบัดโรคที่ติดมากับเด็กๆ ก่อน ?
ในที่สุดผมก็บอกว่า ฉันจะสร้างวิชาหนึ่งที่เขาไม่ได้สอนพวกเธอในห้องเรียน ในปีที่ 8 ของการสอนหนังสือ ผมสร้างวิชานักศึกษากับการพัฒนาตน และในระหว่างนั้นผมก็สอนวิชาปกติคือ ประวัติศาสตร์ เมื่อเด็กติดเชื้ออะไรมา ก็ต้องบำบัดแก้ไขก่อน เพื่อทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่มาจากข้างใน ไม่ได้เกิดจากพ่อแม่ ครูสั่งหรือบังคับ แต่เกิดจากการบังคับตัวเองและเห็นว่า โลกนี้มันน่าอภิรมย์ มนุษย์เกิดมามีพันธกิจ ไม่ใช่ว่าตายไปอย่างเศร้าๆ หรือโนเนม ไม่รู้เรื่อง รู้ราว หรือแค่กิน ขี้ ปี๊ นอน คิดแต่โลกของตัวเอง

ในระบบการศึกษาที่แพ้คัดออก และเลือกคน สอนกันแต่พวกแถวหน้า แต่เด็กไม่เก่ง กลางห้อง หรือหลังห้อง ไม่ได้รับความสนใจ ผมคิดว่าอนาคตของชาติไม่ได้อยู่ที่เด็กแถวหน้า แต่อยู่ที่เด็กกลางห้องหรือหลังห้อง เราจึงสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้เขามีแรงผลักดันหรือแรงบันดาลใจ เพราะพวกเขาถูกตอนทางความคิด ทำให้เป็นหมัน ไร้สภาพ

ตอนที่คิดวิชาใหม่ให้มหาวิทยาลัย ผลตอบรับเป็นอย่างไรคะ
ตอนนั้นเขาอยากให้ผมสอนวิชาหนึ่งคือ ทักษะทางสังคม เพราะเห็นว่า ผมจบจากฝรั่งเศส เพื่อให้เด็กรู้จักวิธีการเข้าสังคม มรรยาทในโต๊ะอาหาร พัฒนาการบุคลิกภาพเหมือนหลักสูตรจอห์น โรเบิร์ต พาวเวอร์ ผมคิดว่า มันไม่ใช่ สิ่งที่ผมต้องการคือ การพัฒนาที่เกิดจากภายใน แล้วเราก็ต้องเข้าใจปัญหาของเขา และนั่นแหละคือคำตอบ ลูกศิษย์ที่มาหาผมก็ปีกหักมาทั้งนั้น มีปัญหาการเรียน ปัญหาครอบครัว ปัญหาการปรับตัวในมหาวิทยาลัย ลองนึกถึงภาพเด็กที่หลุดมาจากมัธยมปลายเคยอยู่ในกรอบ มาเรียนหนังสือห่างพ่อ ห่างแม่ ชีวิตก็เลยเหมือนสัตว์ป่าในทุ่งกว้าง เพราะเป็นชีวิตที่โบยบิน ในสังคมเมืองมีร้าน มีบาร์ มีผับ เด็กๆ ก็ไปทำในสิ่งที่เขาไม่เคยทำ เมื่อโบยบินไปเรื่อยๆ พอมาถึงจุดหนึ่ง ก็ตกลงมากระแทกพื้น มีบางคนลงเรียน 6 วิชา ติด F 3 วิชา

เป็นความหลงระเริงของวัยรุ่น ?
อันนี้ผมเรียกว่า หลุมดำ ไม่ว่าจะติดเกม เรื่องความรัก ติดเซ็กส์ ติดเพื่อน

แล้วอาจารย์ช่วยปลดล็อคอย่างไร
สิ่งที่เราทำคือ เตือนเขาก่อนว่า เข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยจะเจอแบบนี้นะ ให้เขาเตรียมตั้งรับ ให้ภูมิคุ้มกันเขา ให้พวกเขาได้เรียนรู้ชีวิตจริงๆ บางครั้งอาจหน้าแตกกลับมาบ้าง เมื่อถึงเวลานั้นเราก็โอบกอด ไม่ดุเขา

นั่นคือการสื่อสารในวิชานักศึกษากับการพัฒนาตน ?
เด็กรุ่น Generation Y และ Generation X ชีวิตพวกเขาอยู่ในสภาพแวดล้อมอีกแบบ สิ่งเร้าเยอะ และยังมีเจนวายจุดหนึ่ง จุดสอง จุดสาม ทุกปีเปลี่ยนเร็วมาก จนเรานึกไม่ถึง ปัญหาของเราคือต้องตามให้ทันเด็ก นี่คือ หัวใจ ถ้าตามทันแล้วยังมีภาพเดิมๆ ว่า เด็กต้องเป็นอย่างนั้น มันไม่ใช่ ลูกศิษย์ของครูต้องพัฒนามาจากข้างใน ไม่ใช่พัฒนาแต่กระดองข้างนอกแล้วมาหลอกคน ครูไม่ต้องการสร้างโจรใส่เสื้อนอก ที่เท่โดยเอากระดองมาหลอกชาวโลก

วิธีการสอนเหมือนคอร์สจัดการบริหารราคาแพงๆ ไหม
มากกว่า ครูเข้าถึงลูกศิษย์เข้าไปนั่งในหัวใจเขา เพราะสิ่งที่เราค้นพบกับการทำงานคือ คนที่มีอารมณ์ด้อย เขาไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ถูกระบบการศึกษาทำลาย คนยากจน ปรับตัวเองไม่ได้ ต้องกินยาเพราะมีอารมณ์สุดขั้ว คนที่คิดว่าตัวเองชำรุดและไร้ค่า คนที่มาจากครอบครัวมหาเศรษฐีและพวกที่ยากจนที่สุดมีปัญหาเดียวกัน นั่นเป็นเรื่องที่ครูเห็นจากเด็กๆ

ประเภทไม่มีปัญหาเลยมีไหม
ไม่มีใครไม่มีปัญหา มีใครบ้างไม่มีปม มีทั้งพวกไม่มีความมั่นใจในตัวเอง พวกมั่นใจจนเกินไป สิ่งเหล่านี้ครูสอนจากประสบการณ์ตัวเองและครูอ่านหนังสือเยอะ ครูให้เด็กๆ เขียนมหากาพย์ชีวิต ย้อนดูชีวิต มองเข้าไปในตัวตนของเขา ตัวตนสามัญที่บอกว่า "ตัวตนที่คิดว่าฉันเป็น แต่ฉันไม่เป็น ตัวตนที่คนอื่นอยากให้ฉันเป็นและคิดว่าฉันเป็น รวมถึงตัวตนที่ฉันเป็นจริงๆ " ซึ่งมันซ้อนกันอยู่ และการประกอบสร้างบุคลิกของเรา มันมาจากประสบการณ์ชีวิตทั้งนั้น การอบรมเลี้ยงดู วิกฤติต่างๆ ในชีวิต การเปิดโอกาสให้เด็กมองย้อนดูอดีตตัวเอง และมองเข้าไปดูตัวตนของเขา นั่นคือสิ่งที่เยี่ยมที่สุด

เป็นวิชาที่สอนมานานกว่า 20 ปี ?
เพราะระบบการศึกษามีรูโหว่ วิชานักศึกษาและการพัฒนาตน เป็นวิชาที่ให้เด็กใช้ซ่อมแซมตัวเอง ฝึกทักษะ ทั้งพูด คิด ฟัง เขียน และทำอย่างไรให้เขารู้ว่า เธอมีความสามารถ จะมีภาคปฏิบัติแสดงความสามารถเดียวและแสดงความสามารถกลุ่ม แสดงเดี่ยวจะเป็นแอ็คติ้ง การนำเสนอ อะไรก็ได้ สื่อให้รู้เรื่อง ทำให้คนเข้าใจและเชื่อ ไม่ใช่เฟคนะ เพราะเป็นการฝึกทักษะในการพูดการฟัง การคิดการแสดง การใช้เสียงก็สำคัญ ยกตัวอย่างเด็กคนหนึ่งเรียนคณะวิทยาศาสตร์ มันเป็นคนชอบบอลมาก มันบอกว่า ไม่รู้จะพูดอะไรในการแสดงเดี่ยว ครูก็ถามว่าเอ็งชอบอะไร มันบอกว่า ชอบบอล เอ็งก็ฝึกพากษ์บอลสิ ครูจะฉายหนัง แล้วเอ็งพากษ์ ตอนนี้มันเป็นผู้สื่อข่าวกีฬาสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 หรือเด็กคนหนึ่งผ่านไปสิบปี เขียนจดหมายมาบอกว่า วิชาของอาจารย์ใช้มากที่สุดในการทำงาน หรือบางคนคิดว่า ตัวเองเป็นสิ่งที่ชำรุด เรียนห้าปีไม่จบซะที จบไปสมัครงานด้วยเกรด 2.00 แต่ได้ทำงานที่ชอบจริงๆ แล้วค้นพบว่า มีศักยภาพในการทำงานให้สังคม

รูโหว่ทางระบบการศึกษา คำๆ นี้อาจารย์หมายถึงอะไร
ประมาณว่า เวลาเรือแล่นในทะเล ต้องตักน้ำออก และตอนนี้ไม่ใช่โหว่ธรรมดานะ มันมีรูโหว่ใหญ่ มีสิทธิที่จะอับปาง และมีคนที่เห็นรูโหว่อีกเยอะ ซึ่งมีคนที่สนใจกระบวนการเรียนรู้ ครูเองก็เบื่อคนที่พูดแล้วไม่ทำ มีประโยคหนึ่งบอกว่า ระฆังที่มันเคาะตัวเอง นี่มันระยำ ให้คนอื่นมาเคาะดีกว่า โลกปัจจุบันเป็นโลกประชาสัมพันธ์ มันหลอกคน บางทียังไม่ทำอะไรเลย ก็ประชาสัมพันธ์ตัวเองแล้ว ครูชอบประโยคหนึ่งของในหลวง ชอบมาก “ทำแล้วค่อยพูด พูดแล้วต้องทำ”

แม้จะเกษียณไปแล้ว 6-7 ปี อาจารย์ก็ยังสอนวิชานักศึกษากับการพัฒนาตน
ตอนที่ครูเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาที่สอนวิชาปกติ ครูก็พยายามหาวิชาที่เขาไม่สอนในเมืองไทย อย่างวิชา"ประวัติศาสตร์ การเดินทางและจักรวาลทัศน์" การเดินทางในความหมายของครูหมายถึงการเดินทางทางอารมณ์ ภูมิศาสตร์ มิติของเวลา และมิติจิต เพราะครูอยู่ฝรั่งเศส 13 ปี ซึ่งเป็นชาติที่ชอบคิด ครูอยู่ในบรรยากาศแบบนั้น แต่ชีวิตครูเรียนจริงๆ แค่ 5 ปีที่เหลือแสวงหา

ก่อนจะเปิดวิชานี้ อาจารย์ก็เคยรู้สึกหมั่นไส้เด็กๆ ?
ตอนนั้นครูหมั่นไส้เด็ก ทำไมมันเป็นแบบนี้ ไม่เกรงใจ พอครูเข้าไปสัมผัสพวกมัน รู้ปัญหาและสภาพแวดล้อมที่ถูกอบรมบ่มเพาะ ครูเข้าใจ และค้นพบว่า เสน่ห์ของเด็กปัจจุบัน ถ้าพวกเขาเชื่อแล้วจะทำจริง และไว้ใจ ถ้าเรื่องไหนเด็กๆ บอกว่า “มันโดนคะอาจารย์" มันโดนจริงๆ เขาไม่โกหกหลอกลวง นี่คือจุดเด่นของเจนวาย

เพราะอะไรเด็กกล้าเข้าหาอาจารย์ที่มีช่วงวัยต่างกันมาก
ครูก็ใช้คำว่าเอ็งกับเด็กๆ เพราะครูเป็นรุ่นปู่รุ่นตาแล้ว เราก็บอกว่า ครูเคยทำผิดอะไรมาเยอะ ครูไม่ใช่คนดี แต่มีประสบการณ์ที่จะมาเล่าให้พวกเอ็งฟัง จะได้ไม่ทำตามครู ครูจะตอบทุกคำถามที่เอ็งถามครูโดยไม่ปิด และอาจารย์คนอื่นไม่กล้าตอบ อย่างเด็กๆ ถามว่า อาจารย์เคยเสียตัวครั้งแรกเมื่อไหร่ เราก็ตอบ มันก็เกิดสภาวะความไว้เนื้อเชื่อใจ หรือคำถามว่า อาจารย์เคยทำเลวที่สุดเรื่องอะไร ผมก็ตอบว่า “ครูเคยขโมยเงินพ่อ”

จนเกิดพื้นที่ความไว้วางใจ ?
เป็นวิชาที่เปิดให้นักศึกษาเรียนตั้งแต่ปีที่ 1- 4 เลยไปถึงคนที่เรียนปี 5 ปี 6 ปี7 และคนที่ใจถึงเท่านั้นที่จะมาเรียนและต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิต แต่เทอมนี้วิกฤติที่สุด รุ่นเจนวายจุดสาม คือพวกถอดใจง่าย หายไปครึ่งห้อง เพราะกังวลการสอบ ครูก็บอกว่า เอ็งกังวลมากกว่าความเป็นจริงหรือเปล่า ผมให้ลองไปค่ายห้าวันที่พีราศรม ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องมีมือถือ สิ่งที่เด็กปัจจุบันขาดคือ ระเบียบวินัย การจัดการชีวิต เพราะเจอสิ่งเร้ามาก พวกกังวลเรื่องสอบ ครูก็บอกว่าจะมีเซอร์ไพร์สให้ ครูปลุกมันตีสี่ให้ดูหนังสือในความเงียบ แล้วใช้ชีวิตที่มีระเบียบ เขาบอกว่าไม่น่าเชื่อมีสมาธิ สิ่งที่เด็กขาดไม่ใช่ความฉลาดหรือไม่ฉลาด แต่เป็นเรื่องสมาธิ เพราะคนเรามีสองโหมดในการทำงาน คือ ทำงานในเวลาจำกัดเหมือนนักข่าว อีกโหมดคือ โหมดชิลล์ๆ เยาวชนปัจจุบันเป็นแบบนั้น เราก็จัดให้เขาค้นพบการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เราก็ใช้ทั้งครูปล่อยและครูระเบียบ แน่นอนว่า คนหนุ่มสาวชอบการท้าทาย อย่างผมบอกว่า “ถ้าเอ็งไม่แน่ เอ็งอย่าไปเลย” เมื่อโดนใจ เขาก็บอกว่าไม่อยากเป็นคนขี้แพ้

การเรียนรู้ที่แท้จริงในความหมายอาจารย์เป็นอย่างไร
ครูคิดว่าสมองอย่างเดียวไม่พอ ต้องทำให้เขามีความรักในสิ่งที่อยากจะเรียน รักอย่างเดียวไม่พอ ต้องลงมือปฏิบัติด้วย และครูเติมไปอีกอย่างคือต้องมีวิชั่นด้วย ต้องรู้ว่าเธอเรียนไปเพื่ออะไร ยกตัวอย่างการเรียนคณิตศาสตร์แบบที่สอนๆ กันทำให้เด็กขาดจินตนาการ ครูนั่นแหละเป็นตัวทำลายความใฝ่ฝัน

ศูนย์การเรียนรู้พีราศรมทื่สอนหนังสือให้เด็กๆ ในชนบท มีการเชื่อมโยงกับนักศึกษาอย่างไร
ตอนครูอายุ 50 ครูคิดว่าจะร่อนลงอย่างไร หนี้สินของเราต้องหมดภายในอายุ 55 เป็นข้าราชการทั้งชีวิตได้บ้านหลังเดียว ก็คิดว่าเกษียณแล้วไปอยู่สุพรรณบุรีบ้านเกิด เอาเด็กในหมู่บ้านที่เรียนประถมมาเรียน ทำการเรียนรู้สุดสัปดาห์ที่มีการเรียนการสอนแบบเป็นเพื่อนกัน เรียนฟรี ตอนไปปลูกบ้านมีเด็กข้างบ้านสองคนมาเรียนกับผม มันเคยสอนได้ที่ 23 พอเรียนแบบที่ผมสอนเทอมแรก มันสอนได้ที่ 7 แล้วขึ้นมาที่ 1 คราวนี้เด็กทั้งหมู่บ้านวังจิก100 กว่าคนแห่มาเรียน ก็เลยเป็นที่รวมนักศึกษาธรรมศาสตร์มาสอนหนังสือที่นั่น

แต่สิ่งที่เราได้จากเด็กคือ กระบวนการเรียนรู้ เรารู้ว่า เด็กๆ มันฉลาด แต่พอขึ้นประถม 4 เริ่มโง่แล้ว มัธยมปีที่ 1 แหกคอกเลย เพราะครูไม่เอาจริง ไม่ได้เรียนรู้แบบถึงลูกถึงคน ส่วนเด็กธรรมศาสตร์เป็นชนชั้นกลาง เราอยากให้เท้าติดดิน ก็ให้สอนหนังสือ แล้วฝึกนักศึกษาเป็นพ่อเป็นแม่ เอาหนังสือที่เด็กๆ เรียนมาสอนแบบบูรณาการ อย่างสอนคณิตศาสตร์ก็เอาเรื่องชีววิทยามาใช้ด้วย สิ่งสำคัญคือ ไม่ใช้สูตรสำเร็จแต่ให้เด็กใช้จินตนาการ มีเด็กคนหนึ่งชื่อไอ้จ๊าบ ครูที่โรงเรียนบอกว่า ไอ้นี่โง่มาก แต่มันท่องสูตรคูณแม่ 17 ได้คิดไว แก้สมการได้ เราก็ว่าไม่โง่ มันมีบางอย่างที่เก่ง

และคนที่สำคัญคือ ลูกศิษย์ที่ธรรมศาสตร์ สะท้อนให้เห็นว่า เรื่องใดขาดในสังคม เพราะเรื่องแบบนี้ทำคนเดียวไม่ได้ ซึ่งวิชานี้ทำให้พวกเขามีความมั่นใจในตัวเองและศรัทธาในชีวิต และอีกอย่างคือ สอนให้ซ่อมแซมตัวเองเวลาเครียด ชีวิตคือการจัดการ ถ้าเธอไม่จัดการชีวิต เธอจะถูกชีวิตจัดการ จัดการเรื่องเวลา กระเป๋าสตางค์ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ อารมณ์ การงาน สารทุกข์สุขดิบ ร่างกายตัวเอง และในชั่วโมงเรียนที่ธรรมศาสตร์ ผมก็ให้เขียนมหากาพย์ชีวิตเล่าเรื่องตัวเเอง

การเขียนมหากาพย์ชีวิต อาจารย์มีวิธีการแนะนำอย่างไรเพื่อให้พวกเขาได้เรียนรู้ตัวเอง
ก่อนที่ผมจะสอน ผมต้องเปิดเผยตัวตนของตัวเองก่อน มันเป็นเรื่องยากพอสมควร แต่ไม่มีใครสมบูรณ์ที่สุดในสังคม อย่างครูเคยผิดพลาดอะไรในชีวิต ครูก็เล่าให้ฟัง ช่วงหนึ่งครูใช้ชีวิตสำมะเลเทเมา ยิ่งตอนอยู่สังคมอเมริกัน ผู้หญิงอเมริกันทำให้ครูได้เรียนรู้ชีวิต ตอนสังคมเวียดนาม เราก็มารู้ว่า เราถูกโกหกหลอกลวงมาตลอด ครูก็กล้าที่จะไปแจกใบปลิวหน้าสถานทูตไทย ครูมองว่า มนุษย์ต้องผ่านสภาวะที่เป็นแกะดำ ถึงจะเรียนรู้

ก็เลยเข้าใจเด็กวัยรุ่น ?
ก็ใช่ ทำให้ผมเข้าใจเด็กๆ ไม่ใช่ความจำเชิงทฤษฎีในสมอง เวลาเด็กมีปัญหาอกหัก เรื่องครอบครัว เรื่องถูกเซ็กส์ชวล ฮะราสเมนท์ เวลามีปัญหาเขาเอาทั้งตัวถลำลงไป