ทำงานหนักแต่รู้สึกไร้ค่า วัยทำงานอเมริกัน หมดไฟสูงสุดในรอบ 6 ปี!

ทำงานหนักแต่รู้สึกไร้ค่า วัยทำงานอเมริกัน หมดไฟสูงสุดในรอบ 6 ปี!

คนทำงานอเมริกัน 72% “หมดไฟ” สูงสุดในรอบ 6 ปี! Gen Z เครียดสุดในที่ทำงาน เหตุงานล้นมือ ปัญหาการเงิน และตลาดแรงงานที่ไม่มีทางเลือก กอดงานเดิมไว้แน่น ทั้งที่ใจอยากลาออก

KEY

POINTS

  • วัยทำงานในสหรัฐฯ กว่า 70% กำลังเผชิญภาวะหมดไฟ (Burnout) ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในรอบ 6 ปี โดยกลุ่ม Gen Z เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด
  • สาเหตุหลักมาจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ตลาดแรงงานที่เปราะบาง และความกังวลด้านการเงิน ทำให้เกิดปรากฏการณ์ “Job Hugging” หรือการไม่กล้าลาออกจากงานเดิมแม้ไม่มีความสุข
  • นอกจากภาระงานที่หนักแล้ว ความเครียดจากความไม่มั่นคงทางการเงิน และความรู้สึกว่างานที่ทำไร้ความหมายก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้หมดไฟ
  • พนักงานรู้สึกว่าองค์กรใส่ใจสุขภาพจิตของพวกเขาน้อยลง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบการทำงาน ไม่ใช่แค่เรื่องส่วนบุคคล

รายงานล่าสุดเผย คนทำงานในสหรัฐฯ กว่า 70% กำลังเผชิญ “ภาวะหมดไฟ” (Burnout) สูงสุดในรอบ 6 ปี ขณะที่ Gen Z คือกลุ่มที่เครียดที่สุด สาเหตุเพราะความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ปัญหาการเงิน และตลาดแรงงานที่เปราะบางจนทำให้คนจำนวนมาก “ไม่กล้าออกจากงานเดิม” เพื่อหาโอกาสงานใหม่ที่ก้าวหน้าขึ้น

Burnout ระบาดหนักในกลุ่มวัยทำงานยุคใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z

ผลสำรวจจากรายงาน Aflac WorkForces Report ปี 2025 พบว่า ภาวะหมดไฟของพนักงานอเมริกันเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยเกือบ สามในสี่ (72%) ของคนทำงานบอกว่า ตนเองกำลังเผชิญความเหนื่อยล้าระดับปานกลางถึงระดับสูง เพิ่มขึ้นจากประมาณ 60% ในปีที่แล้ว

ในบรรดาคนทำงานทั้งหมด Gen Z กลายเป็นกลุ่มที่มีภาวะหมดไฟมากที่สุด ถึง 74% โดยพนักงานรุ่นใหม่รุ่นนี้ระบุว่า ตนเองมีความเครียดจากการทำงานระดับปานกลางถึงสูง ขณะที่ใน กลุ่มมิลเลนเนียล อยู่ที่ 66%

รายงานของ Aflac ระบุว่า “คลื่นความเครียด” ที่ซ่อนอยู่ใต้ระบบการทำงาน กำลังกลายเป็นปัญหาระดับชาติ เพราะแรงกดดันทางเศรษฐกิจ และความเปราะบางของตลาดแรงงาน งานหายากกว่าแต่ก่อน ได้บั่นทอนสุขภาพจิตคนทำงานอย่างต่อเนื่อง

ฝืนทำงานต่อไป อยากลาออกแค่ไหนแต่ใจยังไม่กล้า

หนึ่งในเทรนด์ที่ผู้เชี่ยวชาญเริ่มจับตามองคือปรากฏการณ์ “Job Hugging” ซึ่งหมายถึง การที่พนักงานยังคงอยู่ในตำแหน่งงานเดิม แม้จะไม่มีความสุข เพราะ “ไม่กล้าเสี่ยงตกงาน”

เจนนิเฟอร์ ชีลคี (Jennifer Schielke) ซีอีโอร่วมของ Summit Group Solutions สะท้อนความเห็นไว้ว่า “คนจำนวนมากเลือกอยู่ที่เดิม ไม่ใช่เพราะพอใจกับงาน แต่เพราะกลัวหางานใหม่ไม่ได้ และนั่นเองที่กลายเป็นต้นเหตุของความเหนื่อยล้าและหมดแรงจูงใจ” 

เธออธิบายเพิ่มเติมว่า เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า และตลาดแรงงานที่กลับมาอยู่ในจุดที่นายจ้างมีอำนาจเหนือผู้สมัครงาน กำลังสร้าง “ความรู้สึกสูญเสียการควบคุม” ในหมู่พนักงาน ซึ่งส่งผลต่อความพึงพอใจและความผูกพันกับงานโดยตรง

ความเครียดไม่ได้มาจากงานอย่างเดียว แต่มาจาก “ชีวิตที่ไม่มั่นคง”

แม้ภาระงานจะเป็นต้นเหตุอันดับหนึ่งของ Burnout โดย 35% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า งานล้นมือคือสาเหตุหลักของอาการหมดไฟของตนเอง แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ ความเครียดจาก “ความไม่มั่นคงทางการเงิน” ยืนยันจากข้อมูลผลสำรวจที่ระบุว่า

  • 44% ของพนักงาน หากมีเหตุฉุกเฉิน เช่น การเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ พวกเขา “ไม่สามารถจ่ายเงิน $1,000 (ประมาณ 36,000 - 37,000 บาท)” ได้เลย
  • 52% ของคนทำงาน บอกว่ากำลังเผชิญอาการ “medanxiety” หรือ “ความวิตกกังวลด้านสุขภาพเรื้อรัง” เพราะกลัวว่าจะไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลหากเจ็บป่วยกระทันหัน

ภายใต้ความเปราะบางเช่นนี้ พนักงานจำนวนมากรู้สึกเหมือนติดอยู่ใน “วงจรความกลัว” ที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถวางแผนใช้ชีวิตอย่างใจต้องการได้เลย

AI และวัฒนธรรมการทำงานที่ “ไร้ความหมาย”

ในอีกด้านหนึ่ง เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ควรจะช่วยลดภาระงาน กลับกลายเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้คนหมดไฟมากขึ้น สำหรับประเด็นนี้ รีเบคกา ไฮส์ (Rebecca Heiss) นักเขียนและนักวิจัยด้านความเครียด มองว่า ความสะดวกที่เทคโนโลยีสร้างขึ้น กำลังทำให้ “ผู้คนห่างเหินจากความหมายของงานที่ทำ”

ไฮส์ ย้ำว่า “เรากำลังอยู่ในยุคที่แทบไม่ต้องต่อสู้เพื่อให้งานเสร็จ แต่สมองมนุษย์กลับต้องการความท้าทายบางอย่าง เพื่อให้รู้สึกถึงคุณค่าและเป้าหมายในชีวิต เมื่อเราหยุดดิ้นรน เราก็เริ่มหมดไฟ”

แม้หลายบริษัทจะพูดถึงเรื่อง “well-being” และสุขภาพจิตของพนักงาน แต่ข้อมูลจาก Aflac ชี้ว่า ตัวเลขผู้ที่เชื่อว่าบริษัทใส่ใจสุขภาพจิตของพวกเขา ลดลงเหลือเพียง 48% จาก 54% ในปีก่อน

แมทธิว โอเวนบี (Matthew Owenby) ประธานเจ้าหน้าที่กลยุทธ์ของ Aflac กล่าวว่า ตัวเลขนี้ควรเป็น “สัญญาณเตือนภัย” สำหรับผู้บริหารทุกคน เขาชี้ว่า การแก้ปัญหา Burnout ต้องเริ่มจากการเข้าใจภาระของพนักงานอย่างแท้จริง ทั้งในและนอกเวลางาน องค์กรต้องหาจุดสมดุลระหว่างความคาดหวังกับชีวิตจริง มิฉะนั้นประสิทธิภาพของทีมจะลดลงเรื่อยๆ 

เขาแนะนำให้บริษัทวิเคราะห์เชิงลึกถึงปัจจัยที่ทำให้พนักงานเครียด และออกแบบสวัสดิการ หรือระบบสนับสนุนที่ตรงจุด เช่น โปรแกรมให้คำปรึกษาทางการเงิน การฝึกอบรมผู้นำให้เข้าใจภาระจิตใจของทีม หรือการจัดวันพักฟื้น (mental health day) ที่ทำอย่างจริงใจ จริงจัง ไม่ใช่แค่คำโฆษณา

 

อ่านเพิ่ม: 
นั่งสมาธิ = ป้องกันหมดไฟ ลดเครียดวิตกกังวล คอร์ติซอลลดลง 25%
AI อาจลดภาวะหมดไฟให้พนักงานได้ 25% แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนไม่เชื่อ
ยิ่งทุ่มเท ยิ่งหมดไฟ? วิจัยชี้ คนเก่งที่สุดมักจะ Burnout ไวที่สุด 

 

เมื่อความเหนื่อยล้าฝังลึกทั้งตัวพนักงาน และระบบงาน

รอน เกิทเซล (Ron Goetzel) นักวิทยาศาสตร์อาวุโสจากมหาวิทยาลัย Johns Hopkins มองว่า ปัญหาหมดไฟ ในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องส่วนบุคคลอีกต่อไป แต่เป็น “โรคเรื้อรังของโครงสร้างการทำงานยุคใหม่” เขาอธิบายด้วยว่า ระบบการทำงานในศตวรรษที่ 21 มีความคาดหวังสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่กลับให้พื้นที่พนักงานพักน้อยลง ความยืดหยุ่นที่ลดลง และวัฒนธรรมการทำงานที่เป็นพิษกำลังผลักคนให้พังจากภายใน

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเตือนตรงกันว่า หากแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป บริษัทต่างๆ อาจเผชิญปัญหาผลผลิตลดลง ความยากในการดึงดูดคนเก่ง และอัตราการลาออกสูงขึ้นในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อการจ้างงานอาจยังไม่ปรากฏชัดในตอนนี้ เพราะตลาดแรงงานที่ยังซบเซาและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้คนจำนวนมาก “ไม่มีทางเลือก” นอกจากต้องอยู่ในระบบเดิม

ท้ายที่สุด อาการ Burnout ไม่ได้เกิดจาก “ความอ่อนแอของพนักงาน” เสมอไป 
แต่อาจมีสาเหตุจาก “ระบบการทำงานในออฟฟิศที่กำลังพังทลายลง”  ในโลกที่ความยืดหยุ่นลดลง แต่ความคาดหวังสูงขึ้น องค์กรที่มองเห็นคนเป็น “ทรัพยากรที่ต้องดูแล” มากกว่า “ต้นทุนที่ต้องคุม” จะคือผู้ที่รอดในระยะยาว

 

อ้างอิง: Newsweekaflac