AI อาจลดภาวะหมดไฟให้พนักงานได้ 25% แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนไม่เชื่อ

ผลสำรวจชี้ องค์กรที่ใช้ AI ช่วยทำงานซ้ำซาก ลดความเหนื่อยล้าของพนักงานได้ 25% แต่ในอีกมุม ผู้เชี่ยวชาญเตือน AI อาจเป็นสาเหตุใหม่ของภาวะหมดไฟในบางกลุ่มได้เช่นกัน
KEY
POINTS
- ผลสำรวจชี้ว่าองค์กรที่นำ AI มาใช้ สามารถช่วยลดความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ของพนักงานได้ถึง 25% โดย AI จะเข้ามาช่วยทำงานซ้ำซากและระบุผู้มีความเสี่ยงต่อภาวะหมดไฟได้ล่วงหน้า
- ในทางกลับกัน ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนเตือนว่า AI อาจเป็นสาเหตุใหม่ของภาวะหมดไฟ โดยข้อมูลพบว่าพนักงานที่ใช้ AI บ่อยครั้ง มีแนวโน้มหมดไฟสูงกว่ากลุ่มที่ไม่ใช้
- หนึ่งในปัญหาที่ถูกหยิบยกคือ แทนที่ AI จะช่วยลดภาระงานเดิม กลับกลายเป็นการเปิดช่องให้พนักงานต้องรับงานใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเร่งให้เกิดภาวะหมดไฟเร็วขึ้นโดยไม่ตั้งใจ
ท่ามกลางภาวะเบิร์นเอาท์และความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ ที่กำลังเป็นโรคระบาดในออฟฟิศ แต่ผลการศึกษาหนึ่งค้นพบว่า AI อาจเป็นคำตอบใหม่ที่กำลังเปลี่ยนวิธีการทำงานของคนทั่วโลก ทั้งนี้ “ภาวะหมดไฟ” (Burnout) ได้รับการยอมรับจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ให้เป็น “ปรากฏการณ์ในที่ทำงาน” ที่ไม่ใช่แค่ปัญหาส่วนบุคคลอีกต่อไป แต่เป็น ประเด็นทางธุรกิจที่สร้างต้นทุนมหาศาล
งานวิจัยในปี 2025 จาก The American Journal of Preventive Medicine พบว่า “ภาวะหมดไฟ” ทำให้บริษัทในสหรัฐฯ สูญเสียค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 4,000-21,000 ดอลลาร์ต่อพนักงานหนึ่งคนต่อปี หรือราว 5 ล้านดอลลาร์ต่อปีในบริษัทขนาด 1,000 คน (ราวๆ 162 ล้านบาทต่อปี)
เพื่อต่อสู้กับวิกฤตินี้ หลายองค์กรเริ่มหันมาใช้เครื่องมือ AI อย่าง ChatGPT และ Copilot เพื่อช่วยทำงานซ้ำซาก รวบรวมข้อมูล และจัดการโปรเจ็กต์ต่างๆ แทนการใช้แรงงานมนุษย์
พนักงานเสียเวลาเฉลี่ย 2.6 ชั่วโมงต่อวัน ไปกับงานซ้ำซาก
ผลสำรวจจากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นและ KPMG International ซึ่งสอบถามพนักงานกว่า 32,000 คน ใน 47 ประเทศ พบว่า 58% ของพนักงานใช้ AI ในการทำงานโดยตั้งใจ และราว 1 ใน 3 ใช้เป็นประจำทุกวันหรือทุกสัปดาห์
แต่ในทางกลับกัน ผลสำรวจของ GoTo และ Workplace Intelligence จากพนักงานและผู้นำ IT จำนวน 2,500 คนทั่วโลก พบว่า พนักงานยังเสียเวลาเฉลี่ย 2.6 ชั่วโมงต่อวัน หรือ 13 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ กับงานที่ AI สามารถทำแทนได้ง่ายๆ ซึ่งคิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของเวลาทำงานทั้งหมด
ดร.เจนนา โกลเวอร์ (Jenna Glover) ประธานเจ้าหน้าที่ด้านคลินิกของ Headspace กล่าวว่า “AI เป็นผู้ช่วยที่ดีมาก เพราะช่วยแบ่งเบาภาระงานที่กินพลังสมองมากในอดีตได้”
AI ช่วยลดภาวะหมดไฟได้อย่างไร ?
ผลสำรวจในเดือนกุมภาพันธ์ 2025 จากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้าน IT 200 คน พบว่า องค์กรหรือบริษัทที่ใช้ AI พนักงานมีระดับความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ลดลงถึง 25% โดยสิ่งที่ AI ทำได้อย่างหนึ่งคือ มันสามารถ “ระบุผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะหมดไฟได้ถึง 30%” โดยอ้างอิงจากปัจจัยอย่างชั่วโมงทำงานที่ยาวนาน หรือความมีส่วนร่วมในงานน้อย ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถออกมาตรการดูแลล่วงหน้าได้
ฟรานซิส เฮลเยอร์ (Francis Hellyer) ซีอีโอของแพลตฟอร์มท่องเที่ยวและประสบการณ์ระดับโลก Tickadoo อธิบายว่า AI สามารถช่วยลดความเครียดได้ด้วยการส่งคำแนะนำเฉพาะตัว เช่น แจ้งให้พักเบรกสั้น ๆ หรือปรับสมดุลงานในทีมให้เหมาะสมขึ้น
ด้าน ดร.โกลเวอร์ จาก Headspace เสริมว่า AI ยังสามารถช่วยตรวจสอบภาระงานอย่างสม่ำเสมอ แจ้งเตือนเมื่องานไม่สมดุล และส่งแบบสำรวจความรู้สึกสั้น ๆ เพื่อเช็กสุขภาวะทีมได้อย่างทันท่วงที
ส่วน แคโรไลน์ สโตกส์ (Caroline Stokes) นักกลยุทธ์ด้านภาวะผู้นำและผู้เขียนหนังสือชื่อดัง มองว่า ChatGPT เป็นเหมือนพาร์ตเนอร์ทางความคิดที่ยอดเยี่ยม มันไม่ใช่แค่การอัปสกิล แต่เป็นการปฏิวัติวิธีคิดการทำงานใหม่ทั้งหมด และถ้าคนทำงานเปิดใจเรียนรู้ มันอาจเป็นโอกาสครั้งใหญ่ที่สุดของยุคนี้เลยก็ได้
เธออธิบายว่า พนักงานที่ใช้ AI ช่วยแบ่งเบางานจะ รู้สึกควบคุมงานได้มากขึ้น มีประสิทธิภาพดีขึ้น และสนับสนุนผู้นำได้มากกว่าเดิม ส่งผลให้ผลลัพธ์โดยรวมขององค์กรดีขึ้น เธอย้ำว่า “ยิ่งซีอีโอเข้าใจว่า AI แบบบูรณาการ ช่วยดูแลทั้งสุขภาพจิตและภาวะหมดไฟของตนเองและทีมได้เร็วเท่าไหร่ ปัญหาหมดไฟก็จะไม่ใช่เรื่องใหญ่จนแก้ไม่ได้ อีกต่อไป”
Headspace เองก็เริ่มนำ AI มาใช้ในด้านสุขภาพจิต โดยเปิดตัว Ebb ผู้ช่วย AI สำหรับดูแลความเครียดและการสร้างนิสัยเชิงบวกในที่ทำงาน ซึ่งถูกนำไปใช้แล้วในกว่า 2,000 องค์กรทั่วโลก
ในอีกมุมหนึ่ง AI อาจเป็น “ต้นเหตุใหม่ของความหมดไฟ” ก็ได้ ?
แม้ AI จะช่วยเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานให้ทันสมัยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็มีเสียงวิจารณ์จากอีกหลายๆ ฝ่ายว่า เทคโนโลยีนี้อาจ “ผลักให้พนักงานบางกลุ่มหมดไฟเร็วกว่าเดิม”
ข้อมูลจาก Quantum Workplace ซึ่งวิเคราะห์ฐานข้อมูลประสบการณ์พนักงานกว่า 700,000 คน ในกว่า 8,000 องค์กรในสหรัฐฯ พบว่า 45% ของพนักงานที่ใช้ AI บ่อย มีแนวโน้มจะเกิดภาวะหมดไฟสูง เมื่อเทียบกับ 38% ของกลุ่มที่ใช้ AI ไม่บ่อย และ 35% ของผู้ที่ไม่ใช้เลย
สโตกส์ เตือนว่า การใช้เครื่องมือ AI ตลอดทั้งวันอาจทำให้สมองล้าได้พอๆ กับ “การออกกำลังกาย 9 ชั่วโมงติด” เธอจึงแนะนำให้พนักงานจัดเวลาพักสมองอย่างเหมาะสม
อีกปัญหาคือ ช่องว่างด้านความรู้เรื่อง AI (AI literacy) พนักงานจำนวนมากยังไม่คุ้นชินกับวิธีใช้เครื่องมือเหล่านี้อย่างถูกต้อง ซึ่งความไม่คุ้นเคยนี้ กลับเพิ่มความเครียดและแรงกดดันให้คนทำงาน แทนที่มันจะช่วยลดความเครียด
เธอยังเตือนด้วยว่า “เวลาทำงานกับ AI มันเหมือนเปิดสารานุกรมของทุกสิ่งไว้ตรงหน้า เราสามารถถามมันได้ทุกเรื่อง แต่สมองของเราก็ต้องได้พักบ้าง การที่องค์กรใช้ AI เพื่อทดแทนคน อาจกลายเป็นตัวเร่งให้พนักงานหมดไฟเร็วขึ้นโดยไม่ตั้งใจ”
ขณะเดียวกัน ดร.โกลเวอร์เสริมว่า บางคนที่ใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน กลับต้องรับภาระเพิ่มมากกว่าเดิม “แทนที่ภาระจะเบาลง มันกลับกลายเป็นการเปิดพื้นที่ให้มีงานใหม่ ๆ ถูกใส่เข้ามาอีก”
แม้ AI กำลังกลายเป็นเพื่อนร่วมงานที่ทรงพลังที่สุดในยุคนี้ แต่คำถามสำคัญคือ มันช่วยให้เราทำงานอย่างมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นจริงหรือไม่? เพราะสุดท้ายแล้ว การทำงานอย่าง “ฉลาดขึ้น” ไม่ได้หมายถึงแค่การใช้เทคโนโลยีเก่งขึ้นเท่านั้น
แต่อยู่ที่ว่าเราจะ ใช้มันเพื่อคืนเวลาพักและพลังใจให้ตัวเองได้หรือเปล่า คนทำงานทุกระดับในองค์กร คงต้องปรับจูนเรื่องนี้ให้เข้าใจตรงกันน่าจะดีที่สุด
อ้างอิง: CNBC, AJPMonline, mbs.edu, Goto survey







