ยิ่งทุ่มเท ยิ่งหมดไฟ? วิจัยชี้ คนเก่งที่สุดมักจะ Burnout ไวที่สุด

ยิ่งทุ่มเท ยิ่งหมดไฟ? วิจัยชี้ คนเก่งที่สุดมักจะ Burnout ไวที่สุด

ผลสำรวจจาก HR ระดับโลก ชี้ พนักงานที่ไฟแรงและอินกับงานที่สุด เป็นกลุ่มเสี่ยงภาวะหมดไฟมากที่สุด! นี่ไม่ใช่แค่ความเหนื่อยล้า แต่คือสัญญาณอันตรายที่องค์กรต้องรีบแก้

KEY

POINTS

  • พนักงานที่ทุ่มเทและผูกพันกับองค์กรสูงที่สุด คือกลุ่มเสี่ยงต่อภาวะหมดไฟ (Burnout) มากที่สุด เนื่องจากมองความล้มเหลวของงานเป็นความล้มเหลวส่วนตัว
  • งานวิจัยชี้ว่ากลุ่มคนวัย 40-50 ปี (Sandwich Generation) เป็นกลุ่มที่เปราะบาง และมีความเสี่ยงต่อภาวะหมดไฟสูงกว่าวัยอื่น เนื่องจากมีความรับผิดชอบรอบด้าน
  • สัญญาณเตือนของพนักงานเก่งที่กำลังจะหมดไฟคือ การมีส่วนร่วมน้อยลง คุณภาพงานลดลง และการหมกมุ่นกับผลงานมากเกินไป
  • องค์กรควรเน้นการป้องกันโดยให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในการทำงานของพนักงาน มากกว่าการมุ่งเน้นผลงานระยะสั้นเพียงอย่างเดียว

เคยสงสัยไหมว่าทำไมพนักงานที่ไฟแรงที่สุด ทุ่มเทให้งานเต็มร้อย กลับเป็นกลุ่มแรกๆ ที่อยากลาออก? ผลสำรวจสุดเซอร์ไพรส์จากวงเสวนาผู้บริหารฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ระดับสูงที่นิวยอร์ก เผยว่า พนักงานที่ยึดติดกับเป้าหมายองค์กรจนเกินไป และมองความล้มเหลวเป็นเรื่องส่วนตัว คือกลุ่มที่เสี่ยงต่อภาวะหมดไฟ (Burnout) มากที่สุด และนี่คือความจริงที่ผู้บริหารยุคใหม่ต้องรับมือ หากไม่อยากเสียคนเก่งไป

พนักงานที่ทุ่มเทมากที่สุด คือกลุ่มเสี่ยงภาวะหมดไฟมากที่สุด

จากวงเสวนาที่จัดโดย WorkLife และสนับสนุนโดย BetterUp แพลตฟอร์มโค้ชชิ่งและพัฒนาพนักงานระดับโลก มีผู้เชี่ยวชาญด้าน HR ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า พนักงานที่มีความผูกพันและทุ่มเทกับงานสูง กลับมีความเครียดสะสมมากที่สุด 

ผู้เข้าร่วมเสวนาท่านหนึ่งกล่าวว่า "พนักงานที่มองเห็นเป้าหมายและความหมายในงานอย่างชัดเจน มักเป็นกลุ่มที่เครียดที่สุด เพราะความล้มเหลวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในที่ทำงาน จะกลายเป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเขา ไม่ใช่แค่เรื่องงานที่ผิวเผินอีกต่อไป"

เมื่อพนักงานผูกตัวเองเข้ากับพันธกิจขององค์กรอย่างลึกซึ้ง ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น จึงไม่ต่างจากความล้มเหลวส่วนบุคคล ผู้บริหารคนเดิมอธิบายต่อว่า "คนที่ไม่ยึดติดกับองค์กรมากนัก มักจะโยนความเครียดออกไปข้างนอกได้ง่ายกว่า เช่น โทษว่าเป็นสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่ดี แต่คนที่เก็บความรู้สึกไว้กับตัวเองคือกลุ่มที่เสี่ยงที่สุด"

 

นอกจากนี้ การขาดความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน ก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อภาวะหมดไฟเช่นกัน ผลสำรวจของ BetterUp พบว่า กว่าครึ่งหนึ่งของพนักงานต้องการความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในที่ทำงาน จะส่งผลโดยตรงต่อการคงอยู่ของพนักงาน ประสิทธิภาพการทำงาน และความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวม

คนวัย 40-50 ปี คือกลุ่มเปราะบาง เสี่ยงภาวะหมดไฟมากกว่ารุ่นอื่น

ความเชื่อที่ว่าภาวะหมดไฟส่วนใหญ่เกิดกับคนหนุ่มสาว อาจไม่จริงเสมอไป! งานวิจัยกลับชี้ให้เห็นว่า กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือพนักงานช่วงอายุ 40-50 ปี "ส่วนใหญ่เป็นเพราะพวกเขามีขอบเขตความรับผิดชอบที่กว้างขึ้น บวกกับความไม่แน่นอนที่พบเจอในอาชีพ" ผู้เข้าร่วมเสวนาท่านหนึ่งกล่าว

กลุ่มคนวัยนี้ต้องเผชิญกับพายุที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกัน ทั้งหน้าที่ความรับผิดชอบในการบริหารจัดการ ความคาดหวังที่สูงขึ้นในหน้าที่การงาน และปัญหาชีวิตส่วนตัว "เมื่อคุณมาถึงจุดนี้ คุณอาจมีลูก มีพ่อแม่ที่ต้องดูแล มีภาระผ่อนบ้าน... (เป็นกลุ่ม Sandwich Generation) คุณหมดไฟแต่ก็ต้องไปต่อ เพราะต้องหาเงินเลี้ยงครอบครัว"

ผู้เชี่ยวชาญด้าน HR ระดับสูงที่นิวยอร์ก ยังตั้งข้อสังเกตว่าโปรแกรมการให้รางวัลแบบดั้งเดิมอาจกำลังสร้างปัญหาอย่างไม่รู้ตัว ผลวิจัยชี้ให้เห็นว่าการให้รางวัลภายนอก (Extrinsic motivation) อย่างเงินโบนัส อาจไปบั่นทอนแรงจูงใจภายใน (Intrinsic motivation) ที่ทำให้งานมีความหมายได้

"คุณสามารถทำลายแรงจูงใจภายใน ได้รวดเร็วด้วยแรงจูงใจภายนอก" ผู้ร่วมเสวนาท่านหนึ่งกล่าว "ถ้าคุณทำงานที่ไม่ได้มีแพชชั่นกับงานนั้น แล้วอยู่ๆ ก็มีคนมาจ่ายเงินให้ มันจะไปบั่นทอนแรงจูงใจภายในที่คุณมีทันที" หมายความว่า หากพนักงานได้รับการยกย่องในสิ่งที่เขาไม่ได้สนใจเลย มันก็อาจจะไม่มีความหมาย แต่ถ้าพวกเขาผูกพันกับภารกิจขององค์กร และได้รับการชื่นชมในสิ่งที่เขาสนใจด้วย นั่นจะเป็นการสร้างพลังใจที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

สัญญาณเตือนภาวะหมดไฟ ในกลุ่มพนักงานระดับหัวกะทิ

ผู้บริหารฝ่ายทรัพยากรบุคคลได้ระบุสัญญาณที่บ่งชี้ว่า พนักงานระดับท็อปกำลังเข้าสู่ภาวะหมดไฟ ได้แก่ 

1. ไม่แสดงความเห็น: พนักงานจะเริ่มมีส่วนร่วมน้อยลง ไม่สนใจในการประชุม แม้จะอยู่ร่วมวงสนทนาก็ตาม

2. คุณภาพงานที่ลดลง: จากคนที่เคยส่งงานคุณภาพสูงมาตลอด คุณภาพงานกลับแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด

3. หมกมุ่นกับผลงาน: พนักงานที่ทุ่มเทมากเกินไป จะผลักดันตัวเองจนเกินขีดจำกัดที่ยั่งยืนได้

ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำว่า การแก้ไขภาวะหมดไฟต้องเริ่มที่ "การป้องกัน" ไม่ใช่ "การรักษา" เมื่อมีใครสักคนถูกนิยามว่า 'หมดไฟ' มันมักจะสายเกินไปแล้ว ผู้บริหารท่านหนึ่งเตือน "คุณไม่น่าจะช่วยพวกเขาได้เมื่อความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว"

แทนที่จะมุ่งแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ องค์กรควรหันมาให้ความสำคัญกับ ปัจจัยเสี่ยง ที่นำไปสู่ภาวะหมดไฟ และหาแนวทางแก้ไขก่อนที่ปัญหาจะลุกลาม โดยมีคำแนะนำว่า องค์กรต้องปรับเปลี่ยนวิธีวัดผลและให้รางวัลพนักงาน

จากที่เคยมุ่งเน้นประสิทธิภาพสูงสุดในระยะสั้นจากพนักงาน ควรเปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในการทำงานแทน "มันจะไม่มีความหมายเลยถ้าพนักงานผลิตผลงานได้ดีเยี่ยมแค่ไม่กี่เดือน แล้วหมดไฟจนลาออก" ผู้เข้าร่วมเสวนาให้ความเห็น

ในท้ายที่สุด วิกฤติภาวะหมดไฟนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นเสมอไป องค์กรที่ตระหนักถึงความเปราะบางของพนักงานที่ทุ่มเทมากที่สุด และปรับแนวทางการบริหารจัดการให้เหมาะสม จะไม่เพียงแค่รักษาคนเก่งไว้ได้ แต่ยังช่วยสร้างเส้นทางสู่ประสิทธิภาพที่ยั่งยืนให้กับทุกคนในองค์กรอีกด้วย

 

อ้างอิง: WorkLifeNews, BetterUp