ทำไม่ได้อย่าพูด! พนักงาน 63% ลาออก เมื่อเจอผู้นำไม่รักษาคำสัญญา

ผลสำรวจล่าสุด เผย ผู้บริหารไม่จริงใจ ทำพนักงานกว่า 2 ใน 3 ตัดสินใจลาออก คำสัญญาที่ไม่เป็นจริง-ไม่รักษาคำพูด คือสาเหตุสำคัญ แล้วอะไรคือกุญแจความสำเร็จของผู้นำยุคนี้?
KEY
POINTS
- พนักงานกว่า 63% ลาออก เพราะรู้สึกไม่ผูกพันกับองค์กร-ผู้บริหาร ขณะที่ 68% รู้สึกไม่เชื่อมั่นเมื่อผู้นำไม่รักษาคำพูด ตอกย้ำว่าความสัมพันธ์และความไว้วางใจระหว่างผู้นำกับพนักงานมีความสำคัญอย่างยิ่ง
- ผู้นำที่ขาดความจริงใจส่งผลร้ายแรงต่อองค์กร พนักงาน 71% รู้สึกได้ถึง "การแสดงออกที่ฝืนใจ" ของผู้นำ ลักษณะผู้นำที่ไม่จริงใจ เช่น ขาดความโปร่งใส, ไม่สม่ำเสมอ, ไม่รับผิดชอบ, เพิกเฉยความเป็นอยู่ของพนักงาน, ควบคุมมากเกินไป, ลำเอียง
- องค์กรที่มีผู้นำแบบ "ยึดคนเป็นศูนย์กลาง" มีแนวโน้มรักษาบุคลากรคุณภาพสูงได้มากกว่า 1.5 เท่า และมีโอกาสบรรลุเป้าหมายองค์กรได้มากกว่าถึง 2.6 เท่า ผู้นำควรพัฒนาด้าน Empathy, ความฉลาดทางอารมณ์, การสื่อสารที่โปร่งใส สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโต
ในโลกการทำงานที่หมุนเร็วและเต็มไปด้วยความท้าทายในปัจจุบัน การรักษาพนักงานให้อยู่กับองค์กรเป็นเรื่องที่ซับซ้อนกว่าที่เคยเป็นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ตลาดแรงงานมีการแข่งขันสูง และพนักงานมีทางเลือกมากขึ้น ข้อมูลล่าสุดจากการสำรวจโดยบริษัท โรเบิร์ต วอลเทอร์ส ที่ปรึกษาด้านการจัดหางานระดับโลก ได้เปิดเผยความจริงที่น่าตกใจว่า ผู้นำที่ขาดความจริงใจ คือหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้พนักงานตัดสินใจลาออก
ผลสำรวจระบุว่า กว่า 2 ใน 3 หรือ 63% ของพนักงาน ให้เหตุผลว่าการที่พวกเขาลาออกจากงานเดิมนั้นเป็นเพราะ ไม่รู้สึกผูกพันกับผู้นำ หรือไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับทีมบริหารหรือผู้นำองค์กร ยิ่งไปกว่านั้น พนักงานถึง 68% ยังชี้ว่าสาเหตุการลาออกเกิดจาก คำสัญญาที่ไม่เป็นจริงของผู้บริหาร ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่เชื่อมั่นและความไว้วางใจที่ถูกทำลาย เมื่อผู้นำไม่รักษาคำพูดที่ให้ไว้ได้
ผู้บริหารที่มาคุยเฉพาะเวลาเจอปัญหา หรือดูเป็น "การแสดงออกที่ฝืนใจ" พนักงานไม่ทน!
รายงานฉบับนี้ยังชี้ให้เห็นถึงผลกระทบเชิงลบเมื่อผู้นำขาดความจริงใจ โดยพนักงาน 62% ระบุว่าพวกเขาไม่รู้สึกผูกพันกับผู้นำเมื่อผู้นำติดต่อสื่อสารมาเฉพาะในเวลาที่ต้องการบางสิ่งจากพวกเขาเท่านั้น ขณะเดียวกัน พนักงาน 71% รู้สึกได้หากผู้นำใช้น้ำเสียงเชิงบวกที่ไม่จริงใจ ซึ่งหลายคนมองว่าเป็น "การแสดงออกแบบฝืนใจ" (forced enthusiasm)
แกริต บุคกาต ซีอีโอของบริษัท โรเบิร์ต วอลเทอร์ส เน้นย้ำว่า "ผู้นำที่ไม่สร้างความสัมพันธ์ที่จริงใจกับทีมงาน ไม่เพียงเสี่ยงต่อการสูญเสียความจงรักภักดี แต่ยังพลาดโอกาสในการรับฟังข้อมูลเชิงลึกและแนวคิดใหม่ๆ ที่อาจพาองค์กรไปสู่การเติบโตในอนาคต"
แล้วผู้นำแบบไหนล่ะ ที่พนักงานไม่อยากร่วมงานด้วย? ตามรายงานฉบับดังกล่าว รายงานถึงความคิดเห็นของพนักงาน เกี่ยวกับลักษณะทั่วไปของผู้นำที่ไม่จริงใจเอาไว้ ดังนี้
1. ขาดความโปร่งใส (72%):
ผู้นำที่ปกปิดข้อมูลหรือไม่ให้เหตุผลของการตัดสินใจ ทำให้พนักงานสูญเสียศรัทธา
2. ไม่มีความสม่ำเสมอ (66%):
การพูดอย่างหนึ่งแต่ทำอีกอย่าง ทำให้ยากต่อการสร้างความเคารพในระยะยาว
3. หลีกเลี่ยงความรับผิดชอบ (44%):
ผู้นำที่ไม่ยอมรับความผิดพลาด นำไปสู่วัฒนธรรมองค์กรที่ไม่ดี
4. เพิกเฉยต่อความเป็นอยู่ของพนักงาน (30%):
การให้ความสำคัญกับผลกำไรมากกว่าผู้คนที่ทำงานให้องค์กร สร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นพิษ (Toxic workplace)
5. การจัดการที่ควบคุมมากเกินไป (28%):
การขาดความไว้วางใจในพนักงาน อาจจำกัดนวัตกรรมและลดแรงจูงใจ
6. ความลำเอียง/การเล่นพรรคเล่นพวก (22%):
การปฏิบัติไม่เท่าเทียมกัน สร้างความไม่พอใจและขาดความผูกพัน
"ผู้นำที่ยึดคนเป็นศูนย์กลาง" คือ กุญแจสู่ความสำเร็จในอนาคต
ข้อค้นพบเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า "ภาวะผู้นำที่ให้ความสำคัญกับคนเป็นศูนย์กลาง" (human-centric leadership) คือแนวโน้มสำคัญที่องค์กรต้องให้ความสำคัญ หากต้องการประสบความสำเร็จในปี 2025 และในอนาคต
ปุณยนุช ศิริสวัสดิ์วัฒนา ผู้จัดการประจำประเทศไทยของบริษัท โรเบิร์ต วอลเทอร์ส สะท้อนความเห็นต่อประเด็นนี้ไว้ว่า ในบริบทขององค์กรที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอในประเทศไทย ผู้นำที่ได้รับการยอมรับ ไม่ใช่ผู้ที่เพียงแค่มีอำนาจตามตำแหน่ง แต่เป็นผู้ที่สร้างความเชื่อมโยงกับผู้คนได้อย่างแท้จริง
สอดคล้องกับข้อมูลในรายงานที่ระบุว่า พนักงานถึง 70% เชื่อว่า ความเห็นอกเห็นใจ (empathy) เป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของผู้นำ ตามมาด้วยการสื่อสารและความยืดหยุ่น
รายงานแนวโน้มบุคลากร ปี 2025 โดยโรเบิร์ต วอลเทอร์ส ชี้ว่าองค์กรที่มีผู้นำแบบ "ยึดคนเป็นศูนย์กลาง" มีแนวโน้ม รักษาบุคลากรคุณภาพสูงได้มากกว่า 1.5 เท่า และ มีโอกาสบรรลุเป้าหมายขององค์กรได้มากกว่าถึง 2.6 เท่า
ขณะที่ แกริต บุคกาต ได้เสนอแนวทางที่องค์กรและผู้นำสามารถนำไปปรับใช้เพื่อสร้างผู้นำที่ยึดคนเป็นศูนย์กลาง เอาไว้ดังนี้
1. การพัฒนาผู้นำผ่านการโค้ชและการฝึกอบรม:
ผู้นำควรเน้นการพัฒนาตนเองเรื่อง Empathy, ความฉลาดทางอารมณ์, ความจริงใจ, การฟังอย่างลึกซึ้ง เพื่อการสร้างทีมให้แข็งแกร่ง
2. การสื่อสารที่โปร่งใสและชัดเจน:
สร้างสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างให้พนักงานกล้าแชร์ไอเดีย กล้าแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในองค์กร และได้รับการรับฟัง พร้อมส่งเสริมวัฒนธรรมติเพื่อก่อ (ให้ข้อเสนอแนะ) อย่างสร้างสรรค์
3. การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร:
ทบทวนวัฒนธรรมองค์กร ปรับเกณฑ์วัดผล และระบบการให้รางวัลให้สอดคล้องกับหลักการที่ให้ความสำคัญกับ "คน" เป็นศูนย์กลาง
4. การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงาน:
ทำความเข้าใจความต้องการของพนักงาน เพื่อพัฒนากลยุทธ์ในการเพิ่มระดับความผูกพันและการมีส่วนร่วม เช่น การสร้างโอกาสในการทำงานร่วมกัน การส่งเสริมสมดุลชีวิตและการทำงาน และการใช้ระบบยกย่องและให้รางวัลที่เหมาะสม
ปุณยนุช สรุปทิ้งท้ายว่า หากผู้นำให้ความสำคัญกับปัจจัยต่างๆ ข้างต้น ก็จะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตทั้งของพนักงานและองค์กรไปพร้อมกันได้ ในปี 2025 ในอนาคตความสำเร็จขององค์กรจะถูกขับเคลื่อนด้วยความเข้าใจผู้อื่น การสร้างทีม และความมุ่งมั่นในการให้ความสำคัญกับ 'คน' เป็นอันดับแรก
ในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้น มนุษย์ยังคงเป็นหัวใจสำคัญขององค์กร การลงทุนในเทคโนโลยีควบคู่ไปกับการลงทุนใน "คน" อย่างแท้จริง คือสิ่งที่จะนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน







