เทรนด์ Leadership 2025 ผู้นำต้องโปร่งใส หาจุดร่วม-เห็นจุดแข็งของคนทุกรุ่น

เทรนด์ Leadership 2025 ผู้นำต้องโปร่งใส หาจุดร่วม-เห็นจุดแข็งของคนทุกรุ่น

เปิดเทรนด์ Leadership 2025 หัวหน้าที่ดีต้องทำงานโปร่งใส และเปิดพื้นที่ให้แสดงความเห็นโดยไม่ถูกตัดสิน สามารถหาจุดร่วม-มองเห็นจุดแข็งของพนักงานแต่ละรุ่น ผสานความร่วมมือของทุกเจนได้อย่างลงตัว

KEY

POINTS

  • ผู้นำยุคใหม่ต้องรู้ เทรนด์ Leadership ปี 2025 ผู้นำต้องสามารถสร้างพื้นที่ที่คนรุ่นใหม่และคนรุ่นก่อนคุยกันได้อย่างไม่มีอคติ พนักงานทุกเจนสามารถถแสดงความคิดเห็นกันอย่างสร้างสรรค์และตรงไปตรงมา
  • คนรุ่นใหม่คาดหวังให้หัวหน้าสามารถอธิบายเหตุผลเบื้องหลังของงานนั้นๆ พวกเขาต้องการรู้ว่า ทำไมต้องทำสิ่งนี้? แล้วพยายามเชื่อมโยงกับค่านิยมของตนเองและองค์กร
  • หนึ่งในเครื่องมือที่เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นระหว่างเจนเนอเรชันก็คือ “ความโปร่งใส” ในการทำงาน คนรุ่นใหม่มองว่าหัวหน้าที่ดีคือหัวหน้าที่แบ่งปันประสบการณ์ต่างๆ กับทีม และการกระทำตรงกับคำพูด

เมื่อวัยทำงานรุ่น Gen Z กลายเป็นกลุ่มผู้นำเทรนด์โลกยุคใหม่หลากหลายมิติ รวมถึงเทรนด์การทำงานพวกเขาก็เข้ามาเขย่าวัฒนธรรมองค์กรใหม่ สร้างความแปลกแตกต่างจากให้องค์กรยุคดั้งเดิม แต่หลายครั้งก็นำมาสู่ความขัดแย้งในที่ทำงาน ผู้นำยุคใหม่จะแก้ไขและพลิกสถานการณ์นี้อย่างไรให้องค์กรประสบความสำเร็จ? และโลกการทำงานยุคใหม่ในปี 2025 จะมีฉากทัศน์เป็นอย่างไร หาคำตอบได้ในหนังสือ Future Trends Ahead 2025 Presented by SCBX ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อต้นปีนี้

โดยหนึ่งในเทรนด์สำคัญที่ถูกเล่าผ่านหนังสือเล่มนี้ก็คือ เทรนด์ Leadership 2025 ซึ่งต้องสามารถผสานการทำงานร่วมกันของพนักงานหลากหลายเจนเนอเรชันให้ได้ ทั้งนี้มีผลการศึกษาจาก Slingshot Group บริษัทที่ปรึกษาทางด้านการพัฒนาผู้นำองค์กรและบุคลากร เปิดเผยว่า ภาพรวมในปีนี้ ทุกองค์กรจะเผชิญกับความท้าทายที่น่าสนใจ นั่นคือการรักษาสมดุลระหว่าง “ระบบอาวุโสแบบดั้งเดิม” กับ “การเปิดรับแนวคิดของคนในเจนเนอเรชันใหม่”

ผู้นำ 2025 ต้องสร้างพื้นที่ที่คนรุ่นใหม่และคนรุ่นก่อนคุยกันได้อย่างไม่มีอคติ

จากผลสำรวจและการสัมภาษณ์ผู้บริหารและพนักงานกว่า 250 คนในองค์กรไทยจากหลายๆ บริษัท พบว่า คนรุ่นใหม่มักรู้สึกลังเลที่จะแสดงความคิดเห็นกับหัวหน้างานรุ่นพี่หรือผู้นำที่อาวุโสกว่า เพราะกลัวว่าจะถูกมองว่าไม่ให้ความเคารพ

“ในฐานะที่ผมเป็นสมาชิกที่มีอายุน้อยที่สุดในทีม ผมมักรู้สึกลังเลอยู่บ่อยครั้งที่จะแสดงความคิดเห็นกับเพื่อนร่วมงานที่อาวุโสกว่า เพราะกลัวว่าจะพูดอะไรผิด” ผู้เชี่ยวชาญรุ่น Gen Z จากบริษัทเทคโนโลยีแห่งหนึ่ง สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายที่พนักงานอายุน้อย ต้องเผชิญในการทำงานภายใต้วัฒนธรรมองค์กรแบบไทยๆ 

เทรนด์ Leadership 2025 ผู้นำต้องโปร่งใส หาจุดร่วม-เห็นจุดแข็งของคนทุกรุ่น

สถานการณ์นี้แตกต่างกันอย่างมากระหว่างองค์กรตั้งเดิมกับบริษัทสตาร์ตอัป สำหรับองค์กรดั้งเดิมที่ก่อตั้งมายาวนาน คนรุ่นใหม่มักจะต้องระมัดระวังในการสื่อสาร โดยเฉพาะเมื่อต้องแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างจากเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ ในขณะที่บริษัทสตาร์ตอัปซึ่งมีผู้นำเป็นคนรุ่นใหม่ มักสนับสนุนการสื่อสารแบบไม่เป็นทางการ และเปิดกว้างสำหรับความคิดเห็นที่แตกต่างมากกว่า

ความท้าทายนี้สะท้อนให้เห็นว่าองค์กรยุคเก่า ต้องปรับตัวและสร้างสภาพแวดล้อมใหม่ให้เอื้อต่อการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ ตรงไปตรงมา ไปพร้อมกับรักษาวัฒนธรรมการให้เกียรติ การให้ความเคารพเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ และการสื่อสารอย่างสุภาพ 

วิธีบริหารจัดการ : หากผู้นำพบว่าคนรุ่นใหม่ไม่กล้าแสดงความเห็นตรงๆ มีคำแนะนำว่า ให้สร้าง 'พื้นที่ปลอดภัย' (Safe Space) สำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือจัดให้มีเวที-ช่องทาง สำหรับการแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ ควบคู่ไปกับการสร้างความเข้าใจระหว่างรุ่น เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เปิดกว้างและมีประสิทธิผลมากขึ้น การสร้างสมดุลที่ว่านี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองที่ต้องการประสบความสำเร็จและเติบโตอย่างยั่งยืน 

หัวหน้าอย่าแค่สั่งงาน แต่ต้องอธิบายให้ Gen Z เข้าใจว่าทำไมต้องทำสิ่งนี้

นอกจากนี้ วัฒนธรรมใหม่อีกอย่างที่ผุดขึ้นพร้อมกับวัยทำงานรุ่น Gen Z ก็คือ การที่หัวหน้าต้องให้ฟีดแบ็กเรื่องงานอย่างรวดเร็ว ผลการวิจัยพบว่า 48% ของคนในเจนเนอเรชันใหม่มักอยากให้หัวหน้าฟีดแบ็กเรื่องงานเป็นรายสัปดาห์ ในขณะที่พนักงานรุ่นก่อนๆ มักคุ้นเคยกับการประเมินผลงานแบบเป็นทางการตามรอบเวลาที่กำหนด (ส่วนใหญ่เป็นรายเดือน) 

อีกทั้งคนรุ่นใหม่คาดหวังให้หัวหน้าสามารถตอบคำถาม “ทำไม” กับการทำงานต่างๆ ได้ เพราะคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังของงาน พวกเขาต้องการรู้ว่า ทำไมต้องทำสิ่งนี้? และพยายามเชื่อมโยงกับค่านิยมของตนเองและองค์กร ในทางตรงกันข้าม วัยทำงานรุ่นก่อนๆ มักเน้นที่วิธีการว่าจะทำงานให้สำเร็จ “อย่างไร” มากกว่า โดยยึดตามกระบวนการหลักการ และประสบการณ์ที่ผ่านมา 

เมื่อมองในแง่ของการรักษาสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว (Work-Life Balance) ในปี 2025 ประเด็นนี้จะยังคงมาแรงในวัฒนธรรมการทำงานของคนไทย ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า 85% ของทั้งสองเจนเนอเรชันมองว่า การรักษาสมดุลชีวิตและความยืดหยุ่นของชั่วโมงการทำงาน เป็นกุญแจสำคัญสู่การเติบโตด้านอาชีพการงาน แต่มีความแตกต่างในรายละเอียดอยู่เล็กน้อย นั่นคือ 

คนรุ่นใหม่จะให้ความสำคัญกับการทำงานแบบเป็นโปรเจกต์ (Project-Based) มากกว่าการทำงานระยะไกล (Remote Work) เพราะพวกเขามองว่าการทำงานในรูปแบบโปรเจกต์เปิดโอกาสให้ได้ทดลองประสบการณ์ใหม่ และพัฒนาทักษะที่หลากหลาย การทำงานลักษณะนี้ตอบโจทย์ความต้องการในการเรียนรู้และความท้าทายใหม่ๆ อีกทั้งในประเด็นเรื่องสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีคนรุ่นใหม่ก็ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพจิตมากขึ้นเช่นกัน โดยพบว่า 73% ของคนรุ่นใหม่จะใช้ “วันลาหยุด” เพื่อฟื้นฟูจิตใจ 

เทรนด์ Leadership 2025 ผู้นำต้องโปร่งใส หาจุดร่วม-เห็นจุดแข็งของคนทุกรุ่น

ในขณะที่วัยทำงานรุ่นก่อนๆ ให้ความสำคัญกับ Remote Work เป็นอันอันดับต้นๆ เนื่องจากพวกเขามีภาระรับผิดชอบนอกเหนือจากงาน เช่น การดูแลบุตรและพ่อแม่ที่สูงวัย การทำงานจากที่บ้านจึงช่วยให้จัดการภาระต่าง ๆ ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นมากว่า

วิธีบริหารจัดการ : มากไปกว่าการสั่งงาน คือ ผู้นำหรือหัวหน้างานต้องอธิบายความสำคัญของงานให้คนรุ่นใหม่เข้าใจ องค์กรที่ประสบความสำเร็จในการจัดการความแตกต่างระหว่างรุ่น มักนำเสนอทางเลือกที่หลากหลายและยืดหยุ่น เช่นการทำงานแบบผสมผสาน, เปิดโอกาสให้เลือกทำงานเป็นโปรเจกต์ (Project-Based), การมีชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่น, การให้ความสำคัญกับสวัสดิการด้านสุขภาพจิต

ผู้นำที่ดีคือผู้นำที่โปร่งใส ช่วยสร้างความเชื่อมั่นระหว่างเจนในที่ทำงาน

หากองค์กรของคุณจะมีพนักงานหลายเจนเนอเรชันอยู่รวมกัน สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ “ช่องว่างระหว่างเจนเนอเรชัน” และมักจะได้ยินพนักงานรุ่นพี่พูดคำว่า ‘เด็กสมัยนี้’ เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งมักจะไม่ตรงตามค่านิยมของคนรุ่นก่อน อย่างไรก็ตามสิ่งนี้เป็นความท้าทายที่แก้ไขได้ หากเข้าใจและจัดการอย่างถูกวิธี หนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยได้คือ “ความโปร่งใส” ในการทำงาน

ความโปร่งใสกลายเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นระหว่างเจนเนอเรชัน ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าทั้งคนรุ่นใหม่ และคนรุ่นก่อนๆ ต่างก็มีมุมมองที่คล้ายคลึงกันว่า ผู้นำที่มีความโปร่งใสคือผู้นำที่ดี ซึ่งควรมีลักษณะสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ 

- แบ่งปันประสบการณ์ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นกับทีม
- มีคำพูดและการกระทำที่สอดคล้องกัน
- ให้ข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับสถานการณ์ของบริษัทเป็นประจำ

อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการใช้โซเชียลมีเดียในการสื่อสาร คนรุ่นใหม่มองว่าการที่ผู้นำสื่อสารเรื่องต่างๆ ผ่านทางสื่อโซเชียลเป็นการสื่อสารที่โปร่งใสน้อยที่สุด สะท้อนว่าการที่พวกเขาเกิดมาในยุคดิจิทัล ทำให้พวกเขาตระหนักถึงข้อจำกัดและความเสี่ยงของการสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์

เทรนด์ Leadership 2025 ผู้นำต้องโปร่งใส หาจุดร่วม-เห็นจุดแข็งของคนทุกรุ่น

ดังนั้นการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นหนึ่งเดียวจึงต้องเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงตนเอง ก่อนที่จะพยายามเปลี่ยนผู้อื่น แทนที่จะมุ่งแก้ไขพฤติกรรมของอีกเจนเนอเรชัน แต่เราควรพยายามเข้าใจมุมมองของคนต่างวัย และหาจุดร่วมที่สามารถทำงานร่วมกันได้ การเปิดใจยอมรับและเห็นอกเห็นใจกัน จะช่วยให้เห็นคุณค่าในจุดแข็งที่แตกต่างของพนักงานแต่ละเจนเนอเรชันได้

วิธีบริหารจัดการ : ผู้นำองค์กรสามารถส่งเสริมวัฒนธรรมที่เป็นหนึ่งเดียวผ่านกิจกรรมและนโยบายต่าง ๆ เช่น การสร้างโอกาสในการทำงานข้ามเจนเนอเรชัน, การจัดเวทีแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์, การพัฒนาระบบพี่เลี้ยงที่ส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกัน, การสร้างช่องทางการสื่อสารที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มวัย

โดยสรุปแล้ว “เทรนด์ Leadership ของปี 2025” ทีมวิจัยจาก Slingshot มองว่า ความสำเร็จในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ใด้อยู่ที่การทำให้ทุกคนเหมือนกัน แต่อยู่ที่การสร้างสภาพแวดล้อมที่ทุกคนสามารถแสดงศักยภาพของตนได้อย่างเต็มที่ โดยยังคงความเคารพและเข้าใจในความแตกต่าง องค์กรที่ประสบความสำเร็จจะเป็นองค์กรที่สามารถใช้ความหลากหลายนี้เป็นพลังในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโตอย่างยั่งยืน