ปรับชีวิตด้วย 11 ทริคง่ายๆ ลดเสี่ยงมะเร็ง โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญมะเร็งเผย 11 เคล็ด (ไม่) ลับทางวิทยาศาสตร์ที่ทำได้ง่ายๆในชีวิตจริง ช่วยลดโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็ง เพื่อสุขภาพดี และชีวิตที่ยืนยาวขึ้น
“โรคมะเร็ง” คำที่หลายคนได้ยินแล้วใจหาย ข้อมูลจาก องค์การอนามัยโลก (WHO) คาดการณ์ว่า จำนวนผู้ป่วยมะเร็งทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 77% ภายใน 25 ปีข้างหน้า ขณะที่ในประเทศไทยเอง ก็มีผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 140,000 คนต่อปี และเสียชีวิตถึง 83,000 คนต่อปี
แต่รู้ไหมว่า เกือบครึ่งของมะเร็งที่พบในผู้ใหญ่อายุ 30 ปีขึ้นไป ถือเป็นมะเร็งที่สามารถป้องกันได้
กรุงเทพธุรกิจ ได้นำ 11 วิธีลดความเสี่ยงโรคมะเร็งที่หมอผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งแนะนำ มาให้ผู้อ่านได้ลองทำตาม เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาวของคุณ และคนที่คุณรัก
ดร. มิกเคียล เอ. เซเคอเรส (Dr. Mikkael A. Sekeres) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโลหิตวิทยาและผู้อำนวยการโปรแกรมมะเร็งเม็ดเลือดขาว ของศูนย์มะเร็ง Sylvester Comprehensive Cancer Center แห่งมหาวิทยาลัยไมอามี (University of Miami) ซึ่งมีคนในครอบครัวเผชิญกับโรคนี้ ทำให้เขาอุทิศชีวิตให้กับการดูแลผู้ป่วยและการวิจัยมะเร็ง
“ผมคิดถึงความเสี่ยงที่ตัวเองอาจต้องเผชิญอยู่ทุกวัน และมันเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผมตัดสินใจอุทิศชีวิตให้การดูแลผู้ป่วยมะเร็ง และการวิจัยเกี่ยวกับโรคนี้”
นี่คือ 11 วิธีลดเสี่ยงมะเร็ง โดย ดร. มิกเคียล
1.กินผัก ผลไม้ ธัญพืช และถั่วให้มากขึ้น
งานวิจัยในยุโรปที่เก็บข้อมูลกว่า 27,000 คนพบว่า การกินผักตระกูล “กะหล่ำ” เช่น บรอกโคลี กะหล่ำปลี กะหล่ำดาว ลดความเสี่ยงมะเร็งได้ถึง 6 ชนิด ส่วนผลไม้ช่วยลดความเสี่ยงถึง 7 ชนิด
เขาแนะนำให้เพิ่ม “ไฟเบอร์” ในอาหาร เพราะช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ โดยเฉพาะถ้ากิน “ธัญพืชเต็มเมล็ด” อย่าง ข้าวกล้อง, ควินัว, บาร์เลย์ และถั่วต่าง ๆ
2.ใช้ “น้ำมันพืช” ในการปรุงอาหาร
จากการศึกษากับผู้ใหญ่กว่า 200,000 คนในสหรัฐฯ พบว่า การบริโภค “เนย” ในปริมาณมากสัมพันธ์กับความเสี่ยงเสียชีวิตจากมะเร็งสูงขึ้น ในขณะที่น้ำมันพืช เช่น น้ำมันมะกอก และน้ำมันคาโนลา สัมพันธ์กับความเสี่ยงที่ลดลง
3.ลดเนื้อแดงและเนื้อแปรรูป
งานวิจัยหลายชิ้นเชื่อมโยงการกิน “เนื้อแดง” เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู และ “เนื้อแปรรูป” เช่น ไส้กรอก แฮม กับมะเร็งลำไส้ใหญ่ ยิ่งถ้าเป็นเนื้อที่ย่าง หรือทอดด้วยความร้อนสูง ความเสี่ยงก็จะเพิ่มขึ้นอีก
4.หลีกเลี่ยงน้ำหวานและอาหารแปรรูปพิเศษ (ultra-processed foods)
เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงเชื่อมโยงกับ มะเร็งลำไส้ใหญ่ ในผู้ป่วยอายุน้อย
ส่วนอาหารแปรรูปพิเศษ หรือ “Ultra-Processed Foods” เช่น ขนม หรืออาหารที่มีส่วนผสมทางเคมีเยอะ ก็มักมีโซเดียม น้ำตาล และไขมันสูง แต่ไฟเบอร์ต่ำ
5.ทาครีมกันแดดทุกวัน
การสัมผัสรังสี UV จากแสงแดดเป็นสาเหตุหลักของ มะเร็งผิวหนัง ไม่ว่าคุณจะมีสีที่ผิวอ่อนหรือเข้ม หมอแนะนำให้ทาครีมกันแดด “SPF 30” ขึ้นไปทุกวัน รวมถึงใส่หมวก แว่นกันแดด และเสื้อแขนยาวเวลาออกนอกบ้านนานๆ
6.ดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยที่สุด
ยิ่งดื่มเยอะ ความเสี่ยงก็ยิ่งสูง แม้แต่การดื่มวันละแก้วก็เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งบางชนิดได้ หมอจึงแนะนำให้จำกัดการดื่มให้น้อยที่สุด
7.ฉีดวัคซีนที่ป้องกันมะเร็ง
มะเร็งกว่า 700,000 รายทั่วโลกในแต่ละปี เกี่ยวข้องกับ เชื้อไวรัส HPV ซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีน
นอกจากนี้ ผู้ป่วยมะเร็งตับหลายรายมาจาก ไวรัสตับอักเสบบี หากไม่มั่นใจว่าฉีดแล้วหรือยัง สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจเลือดดูได้
8.ตรวจคัดกรองลำไส้ใหญ่ตั้งแต่อายุ 45 ปี
การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ ช่วยให้แพทย์สามารถตัดติ่งเนื้อผิดปกติออกได้ก่อนมันจะกลายเป็นมะเร็ง นี่เป็นหนึ่งในวิธีการ “ป้องกันก่อนเกิด” ที่ดีที่สุด
9.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายอย่างน้อย 150–300 นาที/สัปดาห์ แบบปานกลาง เช่น เดินเร็ว ปั่นจักรยานช้า หรือ 75–150 นาที/สัปดาห์ แบบหนัก เช่น วิ่ง ปั่นจักรยานเร็ว จะช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งได้หลายชนิด รวมถึง มะเร็งเต้านม, มะเร็งลำไส้ใหญ่, มะเร็งปอด และ มะเร็งศีรษะและคอ
10. รักษาน้ำหนักให้เหมาะสม
โรคอ้วนเชื่อมโยงกับมะเร็งถึง 13 ชนิด แม้กลไกทางวิทยาศาสตร์ยังไม่ชัดเจน แต่คาดว่าเกี่ยวข้องกับ การอักเสบเรื้อรัง, ภาวะดื้อต่ออินซูลิน และปัญหาเมตาบอลิซึมอื่นๆ การลดน้ำหนักอย่างยั่งยืนจะช่วยลดความเสี่ยงได้
11. เลิกบุหรี่ หรืออย่างน้อยพยายามลด
บุหรี่เป็นสาเหตุที่ใหญ่ที่สุดของมะเร็งในสหรัฐฯ โดยคิดเป็น 86% ของมะเร็งปอด และกว่า 50% ของมะเร็งหลอดอาหารและกระเพาะปัสสาวะ การสูบบุหรี่รูปแบบอื่นๆ ก็ไม่ปลอดภัย
ข้อมูลในไทยก็พบว่า การสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเยาวชนเพิ่มสูงขึ้นก้าวกระโดด
ดร. มิกเคียล ย้ำว่า "ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเลิก"
แม้เราไม่สามารถกำจัดความเสี่ยงมะเร็งได้หมด แต่การเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวันสามารถลดความเสี่ยงลงได้ ลองเริ่มทำตามทีละข้อ เพราะสุขภาพของคุณคือสมบัติล้ำค่าที่สุดในชีวิต
อ้างอิง washingtonpost , hfocus , roche







