เจาะสมรภูมิ "สนีกเกอร์" แบรนด์ไหนครองตลาด?

ปัจจุบัน สนีกเกอร์ กลายเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของแฟชั่นแห่งยุค จากเดิมที่ผู้ผลิตต้องการให้รองเท้ากีฬา เจาะกลุ่มคนที่นิยมเล่นกีฬาเพื่อออกกำลังกาย เช่น บาสเก็ตบอล เทนนิส และวิ่ง

อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ รองเท้าทรงสปอร์ตสามารถพบเจอคนสวมใส่อย่างแพร่หลาย ไม่ใช่เฉพาะในสนามเทนนิสหรือลู่วิ่งเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในห้องประชุมผู้บริหาร ไปจนถึงเวทีแฟชั่นโชว์เลยทีเดียว

นั่นเป็นเหตุผลที่บรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น “ไนกี้” (Nike) และ “อาดิดาส” (Adidas) สามารถโกยรายได้มหาศาลจากกระแสคลั่งไคล้สนีกเกอร์ในยุคนี้

“ไนกี้” ผู้นำตลาดสนีกเกอร์ตัวจริง

เริ่มจากผู้นำตลาดโลกในปัจจุบันอย่าง ไนกี้ ผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬาของสหรัฐ ซึ่งโกยยอดขายท่วมท้นถึง 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีงบการเงินที่สิ้นสุดเดือน พ.ค. 2564 เพิ่มขึ้น 20% จากยอดขาย 2.33 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีงบการเงินก่อนหน้า

ตามมาด้วยอันดับ 2 อย่าง อาดิดาส แบรนด์ใหญ่สัญชาติเยอรมัน ที่ทำยอดขายรองเท้าได้เกือบ 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีงบการเงินซึ่งสิ้นสุดเดือน ธ.ค. 2564 เพิ่มขึ้นจากยอดขายเกือบ 1.07 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้า

ถึงแม้จะเริ่มต้นธุรกิจจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายให้ผู้ผลิตรองเท้าสัญชาติญี่ปุ่นในตลาดสหรัฐ แต่ไนกี้ได้พัฒนาชื่อเสียงด้วยการผลิตรองเท้าแบรนด์ตัวเองออกมาในยุคทศวรรษที่ 70

ที่น่าสนใจคือ รองเท้าไนกี้บางรุ่นที่เปิดตัวในยุคนั้น ยังคงเป็นหนึ่งในรุ่นยอดนิยมของแบรนด์จนถึงทุกวันนี้

นอกจากไนกี้และอาดิดาสแล้ว แบรนด์อื่น ๆ ที่น่าจับตารวมไปถึง พูม่า (Puma) เอสิคส์ (Asics) คอนเวิร์ส (Converse) และอันเดอร์ อาร์เมอร์ (Under Armour)

ปัจจุบัน คอนเวิร์สเป็นแบรนด์ในเครือไนกี้ หลังขายกิจการให้บริษัทไนกี้ อิงค์ (Nike Inc.) ด้วยมูลค่า 305 ล้านดอลลาร์ในปี 2546 ด้วยเหตุนี้ ทั้งไนกี้และคอนเวิร์สจึงใช้ปีงบประมาณเดียวกัน (สิ้นสุดเดือน พ.ค.)

มูลค่าตลาดจ่อทะลุแสนล้านดอลล์ในปี 68

ตลาดสนีกเกอร์อาจมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวตรงที่ความนิยมของผู้บริโภคสลับไปมาในแต่ละยุคสมัย บางยุคคนนิยมรองเท้ารุ่นที่มีนวัตกรรมหรือดีไซน์ใหม่ ๆ ขณะที่บางยุคคนก็โหยหาอดีตกลับไปนิยมรุ่นคลาสสิค

เห็นได้จากรองเท้าดีไซน์ยุคทศวรรษที่ 70 และ 80 ของแบรนด์ดังอย่างไนกี้และอาดิดาส ยังคงมียอดขายเทียบเท่าหรือสูงกว่ารองเท้ารุ่นที่ชูจุดขายเทคโนโลยีสุดล้ำสมัย

ข้อมูลจากเว็บไซต์ Statista ระบุว่า ตลาดสนีกเกอร์มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 7.9 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2563 และคาดการณ์ว่าจะทะลุ 1 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2568 และจะแตะ 1.2 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2569 จึงนับว่าเป็นธุรกิจใหญ่ที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง และคาดว่าจะมีการแข่งขันดุเดือดขึ้นทุกปี

-----------

อ้างอิง: Statista, Fast Company