ความคืบหน้าการแก้ไขเพิ่มเติม ‘กฎหมายอุ้มบุญ’ | กฎหมาย 4.0

“กฎหมายอุ้มบุญ” เป็นชื่อเล่นที่ใช้เรียกขาน “พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558” กฎหมายฉบับนี้มีขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้มีบุตรยาก
และกำหนดสถานะความเป็นบิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมายของเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ให้เหมาะสม ซึ่งในกรณี “การตั้งครรภ์แทนหรือการอุ้มบุญ” ให้เด็กเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของชายหญิงคู่สมรสที่ประสงค์ให้มีการตั้งครรภ์แทน มิใช่บุตรของหญิงที่รับตั้งครรภ์แทน
กฎหมายกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการตั้งครรภ์แทนหรือการอุ้มบุญไว้อย่างรัดกุมเพื่อป้องกันมิให้มีการว่าจ้างหญิงอุ้มบุญ กล่าวคือ สามารถดำเนินการได้เฉพาะสามีและภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งภริยาไม่อาจตั้งครรภ์ได้ ต้องมีสัญชาติไทย กรณีที่สามีหรือภริยามิได้มีสัญชาติไทยต้องจดทะเบียนสมรสมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี
หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนต้องมิใช่บุพการี หรือผู้สืบสันดานของสามี หรือภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย และหญิงที่รับตั้งครรภ์แทนต้องเป็นญาติสืบสายโลหิตของสามีหรือภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย ในกรณีที่ไม่มีญาติสายโลหิตของสามีหรือภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย ให้หญิงอื่นรับตั้งครรภ์แทนได้ แต่ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในประกาศกระทรวงสาธารณสุข
นอกจากนี้ หญิงที่รับตั้งครรภ์แทนต้องเป็นหญิงที่เคยมีบุตรมาก่อนแล้วเท่านั้น ถ้าหญิงนั้นมีสามีที่ชอบด้วยกฎหมายหรือชายที่อยู่กินฉันสามีภริยา จะต้องได้รับความยินยอมจากสามีที่ชอบด้วยกฎหมายหรือชายดังกล่าวด้วย
ข้อสำคัญห้ามใช้ไข่ของหญิงที่รับตั้งครรภ์แทน ห้ามดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า ห้ามเป็นคนกลางหรือนายหน้าและห้ามโฆษณาหรือไขข่าวให้แพร่หลายเกี่ยวกับการอุ้มบุญ
ทั้งนี้ ในการดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนให้แก่คู่สมรส ต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ (คกทพ.) โดยข้อมูลจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) พบว่าปัจจุบันมีคู่สมรสที่ได้ทำอุ้มบุญถูกต้องตามกฎหมายกว่า 700 ราย
แต่เนื่องจาก พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวได้มีผลใช้บังคับมาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี ประกอบกับ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 หรือที่เรียกว่า “กฎหมายสมรสเท่าเทียม” มีผลใช้บังคับตั้งแต่ 23 ม.ค.2568 มีสาระสำคัญเป็นการเปลี่ยนคำที่ใช้เรียกบุคคลที่จดทะเบียนสมรสกันแล้ว
จาก “สามี-ภริยา” เป็น “คู่สมรส” เป็นเหตุให้การกำหนดเงื่อนไขการดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทน โดยกำหนดให้เฉพาะสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งหมายถึงชายกับหญิงเท่านั้นที่สามารถดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนได้ อาจไม่สอดคล้องกับสภาพสังคมไทยปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข จึงมีแนวคิดในการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายอุ้มบุญ คือ “ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ (ฉบับที่ .. ) พ.ศ. ....” ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขพิจารณา ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการต่อไป
กฎหมายที่แก้ไขใหม่ได้ปลดล็อกเงื่อนไขในการตั้งครรภ์แทนหรือการอุ้มบุญหลายประการ ดังนี้
1) เปลี่ยนจากนิยามคู่สามีภริยาเป็นคู่สมรส เพื่อเปิดช่องให้คู่สมรสเพศเดียวกันทำอุ้มบุญได้ แต่กำหนดเงื่อนไขการขอรับบริการ
2) ให้คู่สมรสที่เป็นชาวต่างชาติทั้งคู่สามารถเข้ามาทำอุ้มบุญในประเทศไทยและสามารถนำตัวอ่อน ไข่ อสุจิ กลับไปยังประเทศของตนได้ แต่จะต้องผ่านกระบวนการพิจารณาอนุญาต อันเป็นการตอบสนองต่อนโยบายการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางด้านการรักษาพยาบาลและการส่งเสริมสุขภาพ หรืออุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร (Medical Hub)
3) กำหนดบทลงโทษผู้กระทำความผิดรุนแรงขึ้นกว่าเดิม เช่น บางฐานความผิดที่กำหนดโทษจำคุก1-2 ปี มีการเพิ่มโทษจำคุกและเพิ่มค่าปรับ และถ้ามีการกระทำความผิดนอกราชอาณาจักรให้ถือเสมือนว่ากระทำความผิดในราชอาณาจักรด้วย
ล่าสุด กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ได้หารือร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในการผลักดันให้ “การอุ้มบุญผิดกฎหมาย” หรือการกระทำผิดที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ เป็นคดีความผิดทางอาญาซึ่งมีลักษณะเป็นคดีพิเศษ เนื่องจากการกระทำผิดในลักษณะดังกล่าวมักมีผู้เกี่ยวข้องในหลายระดับทั้งนายหน้า บุคลากรทางการแพทย์ หญิงที่รับจ้างอุ้มบุญ ฯลฯ
ในภาพรวมข้อเสนอข้างต้นในการแก้ไขกฎหมายน่าจะเป็นผลดีต่อผู้มีบุตรยาก คู่สมรสเพศเดียวกันและชาวต่างชาติที่ประสงค์เข้ามาทำอุ้มบุญในประเทศไทย อย่างไรก็ดี ในกระบวนการร่างกฎหมายต้องรับฟังความคิดเห็นหลายด้านและพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะอาจมีชาวต่างชาติแสวงหาประโยชน์จากการอุ้มบุญโดยการว่าจ้างหญิงหรือทำในรูปขบวนการการค้ามนุษย์
รวมถึงจะต้องแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องอีกหรือไม่ เพื่อรับรองและกำหนดสิทธิหน้าที่ระหว่างเด็กและคู่สมรสเพศเดียวกัน เพราะขณะนี้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว เรื่องบิดามารดากับบุตร กฎหมายใช้คำว่า “ชาย” และ “หญิง” คำว่า “บิดามารดา” จึงหมายถึงชายและหญิง
นอกจากนี้ ภาครัฐและภาคประชาสังคมก็ต้องสื่อสารให้ความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนทั่วไป เพื่อมิให้เกิดแรงต่อต้านอันอาจจะเป็นผลเสียต่อสวัสดิภาพของเด็กในอนาคตได้
ท้ายที่สุด ปฏิเสธไม่ได้ว่าการแก้ไขเพิ่มเติม ร่าง พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ (ฉบับที่ .. ) พ.ศ. .... เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ไม่สามารถมีบุตรได้โดย “ไม่จำกัดเพศสภาพ”
ในการเข้าถึงหรือใช้บริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ย่อมช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัว และช่วยเพิ่มจำนวนประชากรวัยเด็กซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญอันเป็นอนาคตของชาติได้อีกทางหนึ่ง ก่อนที่ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบในอีกไม่นาน







