ดีไซน์ ‘ระบบเกษียณยืดหยุ่น’ ถอดโจทย์ขยายอายุทำงาน 60 +

สูงวัยไทยมีรายได้เฉลี่ยวันละ 83-167 บาท ขณะที่ค่าใช้จ่ายช่วง 20 ปีหลังเกษียณตกคนละ 3.22 ล้าน นักวิชาการชง 6 ข้อเสนอเชิงนโยบาย “ขยายอายุทำงาน”ภาคราชการ ต้องเป็นแบบ “ระบบเกษียณยืดหยุ่น”
KEY
POINTS
- ประเทศไทยเผชิญวิกฤตสังคมสูงวัย ผู้สูงอายุจำนวนมากมีรายได้น้อยและไม่มีเงินออม จึงเกิดแนวคิดขยายอายุการทำงานเพื่อช่วยให้พึ่งพาตนเองได้นานขึ้น
- ข้อเสนอหลักคือการออกแบบ “ระบบเกษียณยืดหยุ่น” โดยทยอยปรับเพิ่มอายุเกษียณแบบเป็นขั้นบันได (Phase-in) แทนการปรับขึ้นพร้อมกันทั้งหมด
- นโยบายขยายอายุเกษียณไม่ควรทำแบบเหมารวม แต่ควรจำกัดเฉพาะตำแหน่งที่จำเป็น ใช้ระบบสมัครใจ และประเมินศักยภาพ เพื่อไม่ให้กระทบโอกาสของคนรุ่นใหม่
- จำเป็นต้องปฏิรูประบบบำนาญควบคู่กันไปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและภาระทางการคลัง พร้อมส่งเสริมการออมภาคบังคับและภาคสมัครใจ
สถานการณ์จริงที่กำลังเกิดขึ้นจากในประเทศไทย จากประชากรประมาณ 66 ล้านคน เป็นผู้สูงอายุกว่า 13 ล้านคน อีกไม่ถึง 20 ปีข้างหน้า จะเพิ่มขึ้น 20 ล้านคน จากการสำรวจประชากรสูงอายุปี 2567 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ผู้สูงอายุครึ่งหนึ่งเป็นผู้มีรายได้น้อย โดย 31.6% มีรายได้ต่อปี 30,000-59,999 บาท เฉลี่ยวันละ 83-167 บาท อีก 19.9% มีรายได้ต่อปีน้อยกว่า 30,000 บาท เฉลี่ยน้อยกว่าวันละ 83 บาท
2 ใน 3 ของผู้สูงอายุไม่มีเงินออม หรือคิดเป็น 66.7% และมีผู้สูงอายุที่ยังต้องทำงานอยู่ 5.26 ล้านคน คิดเป็น 37.2% ด้วยเหตุผลที่ว่ายังมีสุขภาพแข็งแรง ยังทำงานไหว และมีความจำเป็นด้านรายได้ สะท้อนว่า ผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยไม่ได้อยากเป็นภาระ แต่ต้องการมีบทบาทและคุณค่าในสังคม
“การขยายอายุเกษียณ” จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งพิจารณา เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านนี้ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคมมากที่สุด โดยมุ่งหวังว่าหากผู้สูงอายุมีรายได้และสามารถพึ่งพาตนเองได้นานขึ้น จะเป็นกุญแจสำคัญในการคลายความบีบคั้นของสังคมไทยในยุคปัจจุบัน
ในเวทีวิชาการและสื่อสารสาธารณะ “การขยายอายุการทำงานสำหรับผู้สูงอายุ: ทางรอด ทางเลือก หรือทางตัน ในวิกฤติสังคมสูงวัย” จัดโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.)
เงินดูแลสูงวัยต่อคน 3.22 ล้าน
ผศ.ดร.ศุภชัย ศรีสุชาติ รองอธิการบดีฝ่ายการคลัง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(มธ.) กล่าวว่า สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ดัชนีการสูงวัยและอัตราการพึ่งพิงพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยปัจจุบันแรงงาน 1 คนต้องแบกรับภาระดูแลผู้สูงอายุ 3 คน ก่อให้เกิดภาวะ "ครอบครัวแซนด์วิช" (Sandwich Family) ที่คนรุ่นใหม่ต้องทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูทั้งลูกหลานและผู้สูงอายุในเวลาเดียวกัน ซึ่งการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุสามารถดูแลตัวเองและขยายความสามารถในการทำงานออกไป จึงเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาที่สำคัญ
ในการดูแลผู้สูงอายุที่เกษียณ60-80 ปี มีต้นทุนค่าใช้จ่ายประมาณ 3.22 ล้านบาทต่อคน เป็นตัวเลขที่สูงกว่าค่าใช้จ่ายดูแลเด็กช่วงอายุ 0-20 ปี ที่ใช้เงินราว 3 ล้านบาท
แหล่งเงินทุนที่ใช้ในมาจากหลายส่วน ทั้งจากการเกื้อกูลของลูกหลาน การแปลงสภาพทรัพย์สินหรือเงินออม รายได้จากการทำงาน และเงินโอนภาครัฐ หรือสวัสดิการเบี้ยยังชีพ ซึ่งเริ่มมีสัดส่วนที่น่าจับตา เนื่องจากในอนาคตมีแนวโน้มว่าพรรคการเมืองต่าง ๆ อาจนำนโยบายเพิ่มเบี้ยยังชีพมาใช้หาเสียง โดยจะส่งผลให้ภาระทางการคลังของประเทศเพิ่มสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ความแตกต่างวัยเกษียณ 3 กลุ่ม
เมื่อพิจารณาถึงความมั่นคงทางการเงินหลังเกษียณ มีความแตกต่างอย่างชัดเจนของประชากร 3 กลุ่มหลัก คือ
1.กลุ่มแรงงานนอกระบบ(แรงงานอิสระ) ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุประมาณ 600 บาทต่อเดือนปรับขึ้นตามอายุ ใช้สิทธิบัตรทองรักษาพยาบาล
2.กลุ่มแรงงานในระบบประกันสังคม สิทธิประโยชน์บำนาญชราภาพประมาณ ประมาณ 3,500 -7,500 บาท ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการส่งเงินสมทบ และเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
3.กลุ่มข้าราชการบำนาญ ได้รับเงินบำนาญประมาณ 70 % ของเงินเดือน 60 เดือนสุดท้าย ,เงินก้อนจากกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ,บำเหน็จตกทอด 30 เท่าของเงินเดือนกรณีที่เสียชีวิต พร้อมสวัสดิการรักษาพยาบาลและเงินชดเชยกรณีเสียชีวิต
“ความเหลื่อมล้ำในระบบสวัสดิการและการเงินของผู้สูงอายุยังเป็นอีกหนึ่งโจทย์ใหญ่ ซึ่งระบบบำนาญข้าราชการจึงควรมีการปรับเปลี่ยนบางอย่าง โดยข้อมูลข้าราชการพลเรือนสามัญปี 2567 ระบุว่า หากไม่มีนโยบายขยายอายุเกษียณ ในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า จะมีข้าราชการเกษียณกว่า 94,000 คน หรือเกือบ 1 ใน 4 ของระบบราชการ จะเพิ่มแรงกดดันต่อภาระการคลังในระยะยาว”
6 ข้อเสนอเชิงนโยบายขยายอายุการทำงาน
ผศ.ดร.ศุภชัย มีข้อเสนอเชิงนโยบายในการขยายอายุการทำงานภาคราชการ 6 ข้อ ประกอบด้วย 1. รัฐบาลอาจต้องวางแผนการขยายการเกษียณแบบทยอยปรับเพิ่มขึ้น(Phase-in) ตามช่วงเวลา เพื่อลดผลกระทบเชิงโครงสร้าง ช่วยให้ภาครัฐมีเวลาที่เพียงพอในการปรับโครงสร้างองค์กร วางแผนการสืบทอดตำแหน่ง และพัฒนาระบบการบริหารทรัพยากรบุคคลให้รองรับการทำงานของผู้สูงอายุ
2.การเปลี่ยนผ่านที่รวดเร็วเกินไปมีความเสี่ยงด้านประสิทธิภาพการทำงาน เนื่องจากข้าราชการสูงอายุอาจมีทักษะที่ไม่สอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป แนวทางที่เหมาะสมจึงควรเป็นการเริ่มปรับอายุเกษียณที่ 62 - 63 ปี แล้วจึงพิจารณาขยายุต่อไปแบบค่อยเป็นค่อยไป (Phased-in approach) โดยมีแผนปฏิบัติการที่ชัดเจนและมีการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลง (Change Management) เพื่อลดผลกระทบเชิงลบที่จะเกิดขึ้นระหว่างทาง
3.นโยบายควรจำกัดขอบเขตการขยายอายุเกษียณเฉพาะในตำแหน่งที่จำเป็นต่อการรักษาองค์ความรู้เฉพาะทาง หรือตำแหน่งที่ต้องการความต่อเนื่องในการทำงานสูง และการดำเนินการควรใช้ระบบความสมัครใจควบคู่ไปกับการประเมินศักยภาพทางด้านร่างกาย
4.รัฐบาลจำเป็นต้องใช้เครื่องมือการวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์ (Cost - Benefit Analysis)ทั้งผลประโยชน์ทางตรงและทางอ้อม เพื่อประเมินความคุ้มค่าของนโยบาย
5.การศึกษาการปฏิรูประบบบำนาญภาครัฐและกำหนดค่า Parameter เงื่อนไขของบำนาญภาครัฐในระยะต่อไปให้เกิดความเป็นธรรมสำหรับบุคลากรเข้าใหม่ เพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณในระยะยาว และต้องสร้างกลไกเพื่อให้เกิดการออมภาคบังคับและภาคสมัครใจอย่างเหมาะสม รวมถึง บูรณาการระบบการสร้างความมั่นคงทางการเงินของผู้สูงอายุในทุกสถานภาพการทำงานควบคู่กันไป
6.สำหรับผู้เกษียณไม่ได้ต่ออายุ ภาครัฐต้องมีการเตรียมความพร้อมด้านการวางแผนการเงิน การปรับทักษะเพื่อการประกอบอาชีพใหม่ รวมถึงต้องมีการสื่อสารต่อสังคมและกลุ่มข้าราชการอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างความเข้าใจและการยอมรับในสังคม
“ การขยายอายุเกษียณไม่สามารถทำแบบเหมารวมได้ เพราะมีผลกระทบต่อโครงสร้างตำแหน่ง การเลื่อนขั้น และโอกาสของคนรุ่นใหม่ การปรับเข้าสู่ระบบเกษียณแบบยืดหยุ่น (Flexible Retirement) จึงเป็นแนวทางที่เหมาะสม โดยทยอยปรับอายุเกษียณแบบเป็นขั้นบันได ควบคู่กับการปฏิรูปกำลังคน วางแผนสืบทอดตำแหน่ง และการบริหารการเปลี่ยนผ่านอย่างรอบคอบ”ผศ.ดร.ศุภชัยกล่าว







