สัญญาณเตือน!! เส้นเลือดสมองตีบเฉียบพลัน รู้เร็ว รักษาทัน ลดเสี่ยงอัมพาต

สัญญาณเตือน!! เส้นเลือดสมองตีบเฉียบพลัน รู้เร็ว รักษาทัน ลดเสี่ยงอัมพาต

จากกรณี ‘ต้าร์ วงมิสเตอร์ทีม ต้องเข้าโรงพยาบาลกะทันหัน ด้วยอาการเส้นเลือดสมองตีบเฉียบพลันนั้น ทำให้หลายๆ คนอยากทราบว่า โรคดังกล่าว รุนแรงมากขนาดไหน? และเกิดความตื่นตัวในการดูแลตัวเองเพื่อไม่ให้เกิดอาการดังกล่าว

Keypoint:

  • ทุกๆ 1 นาทีที่สมองขาดเลือด เซลล์สมองจะตายไป 1.9 ล้านเซลล์ หรือ 114 ล้านเซลล์ใน 1 ชั่วโมง ส่งผลให้การทำงานของสมองช้าลง และหากไม่ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว สมองก็หยุดทำงานไปในที่สุด
  • ปัจจัยเสี่ยงเส้นเลือดสมองตีบเฉียบพลัน หรือโรคหลอดเลือดสมอง  เกิดได้จากทั้งพฤติกรรม อาทิ สูบบุหรี่ ดื่มสุรา โรคอ้วน หรือโรคประจำตัว อย่าง เบาหวาน ไขมัน ความดัน และการใช้ฮอร์โมน 
  • เมื่อเกิดอาการเดินเซ เวียนศีรษะ บ้านหมุนฉับพลัน ตามัว มองไม่เห็น เห็นภาพซ้อนฉับพลัน หน้าเบี้ยวหรือปากเบี้ยว แขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด ควรรีบพบแพทย์

 

โรคเส้นเลือดสมองตีบเฉียบพลัน หรือ โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ถือเป็นตัวการในลำดับต้นๆ ที่คร่าชีวิตของคนไทย ซึ่งจากสถิติพบว่าคนไทยป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองถึงปีละ 150,000 คน

กล่าวได้ว่าคนไทยป่วยเป็นโรคนี้ 1 รายในทุกๆ 4 นาทีและทุกๆ 10 นาทีจะมีคนเสียชีวิตจากโรคดังกล่าว เห็นได้ชัดในช่วงนี้ที่มีคนดังล้มป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมองเป็นจำนวนมาก ส่งผลกระทบทำให้กลายเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตหรือรุนแรงขึ้นเสียชีวิตในบางราย

แต่หากประชาชนทั่วไปมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเส้นเลือดสมองตีบเฉียบพลัน ก็จะช่วยให้การรับมือและป้องกันสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังจะช่วยลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นตามมาได้อีกด้วย

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

ถึงรพ.ช้าเกิน 270 นาที เสี่ยงอัมพฤกษ์ อัมพาต

เมื่อพบ ผู้ป่วยเส้นเลือดสมองตีบเฉียบพลัน หรือ หลอดเลือดสมองตีบเฉียบพลัน ต้องนำส่งผู้ป่วยให้ถึงโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว เพราะทุกๆ 1 นาทีที่สมองขาดเลือด เซลล์สมองจะตายไป 1.9 ล้านเซลล์ หรือ 114 ล้านเซลล์ใน 1 ชั่วโมง ส่งผลให้การทำงานของสมองช้าลง และหากไม่ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว สมองก็หยุดทำงานไปในที่สุด

การมาถึงโรงพยาบาลล่าช้าเกิน 270 นาที อาจเป็นที่มาของ ‘อัมพฤกษ์อัมพาต’ อย่างสมบูรณ์ ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในระยะยาว และหากอาการรุนแรงมากก็ถึงขั้นเสียชีวิตได้

นพ.ชาญพงค์ ตังคณะกุล ผู้ อำนวยการศูนย์สมองและระบบประสาทกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า ต้นเหตุของโรคเส้นเลือดสมองตีบ หรือ โรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke นั้น เกิดจากการที่หลอดเลือดไปเลี้ยงสมองมีความผิดปกติ ซึ่งมี 2 ชนิดคือ

  1. หลอดเลือดสมองอุดตัน
  2. หลอดเลือดสมองแตก

 

สัญญาณเตือน!! เส้นเลือดสมองตีบเฉียบพลัน รู้เร็ว รักษาทัน ลดเสี่ยงอัมพาต

 

ส่งผลให้สมองหยุดทำงานไปอย่างเฉียบพลันจากการที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยงหรือมี เลือดออกแทรกทับในเนื้อสมอง 70% ของโรคหลอดเลือดสมองเกิดจากการที่เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ซึ่งมีสาเหตุสำคัญ 3 ประการคือ

  1. การอุดตันของหลอดเลือดจากการเสื่อมหรือการแข็งตัวของหลอดเลือ
  2. ก้อนเลือดจากหัวใจหรือตะกอนเลือดจากผนังหลอดเลือดแดงที่คอด้านหน้าหลุดเข้าไปอุดตันหลอดเลือดในสมอง
  3. ความดันเลือดลดลงมากจนไปเลี้ยงไม่พออีก

ส่วนอีก 30% เกิดจากหลอดเลือดในสมองแตก ซึ่งแบ่งย่อยออกเป็น 2 ชนิด คือ

  1. เลือดออกในเนื้อสมอง (Intracerebral Hemorrhage หรือ ICH)
  2. เลือดออกที่ผิวสมอง (Subarachnoid Hemorrhage หรือ SAH)

เช็กสาเหตุการเกิดเส้นเลือดสมองตีบเฉียบพลัน

โรคเส้นเลือดสมองตีบ (Ischemic Stroke) เป็นภาวะที่สมองขาดออกซิเจนและเลือดไปเลี้ยง โดยเกิดการหนาตัวของผนังหลอดเลือดจากการมีไขมันมาสะสมตามผนังหลอดเลือด ส่งผลให้เลือดไหลผ่านไปได้น้อยลง ซึ่งถ้าเกิดการสะสมและหนามาก จะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ เกิดความเสียหายต่อบริเวณนั้น ๆ ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมอวัยวะและระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายได้ 

ซึ่งในบางรายอาจกลายเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือมีอาการผิดปกติ เช่น ตามองไม่เห็น ชาครึ่งซีก เป็นต้น แต่หากผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีก็จะมีโอกาสลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้

สาเหตุหลักของการเกิดโรคเส้นเลือดสมองตีบ 

  • ไขมันไปเกาะผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบแคบและขาดความยืดหยุ่น 
  • เกิดจากการฉีกของผนังหลอดเลือดด้านใน ทำให้เส้นเลือดอุดตัน
  • เกิดลิ่มเลือดขนาดเล็กแข็งตัวและเกาะที่ผนังหัวใจและลิ้นหัวใจ จากนั้นหลุดลอยตามกระแสเลือดไปอุดตันหลอดเลือดในสมอง

ขณะที่โรคหลอดเลือดสมองมี 3 ประเภท สาเหตุแรกคือหลอดเลือดเกิดตีบหรืออุดตัน (Ischemic stroke) และหลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic stroke) ในผู้ป่วยบางรายจะมีอาการของภาวะสมองขาดเลือดชั่วขณะ (Transient Ischemic Attack) นำมาก่อน

  • ภาวะหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน (Ischemic stroke) พบได้บ่อยถึง 85% ของโรคหลอดเลือดสมอง สาเหตุที่สำคัญ ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง การสูบบุหรี่
  • ภาวะหลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic stroke) พบได้ประมาณ 15% ของโรคหลอดเลือดสมอง ปัจจัยดังต่อไปนี้อาจเพิ่มความเสี่ยงในเกิดภาวะหลอดเลือดสมองแตก
  • ภาวะความดันโลหิตสูงที่ไม่สามารถควบคุมได้
  • การได้รับการรักษาด้วยยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulant) ที่มากเกินความจำเป็น
  • โรคหลอดเลือดสมองโป่งพอง (cerebral aneurysm or arteriovenous malformation)
  • การบาดเจ็บ อุบัติเหตุ
  • มีโปรตีนสะสมผิดปกติในผนังหลอดเลือด (cerebral amyloidosis)
  • ภาวะสมองขาดเลือดชั่วขณะ (Transient ischemic attack - TIA) คืออาการโรคหลอดเลือดสมอง แต่อาการเป็นไม่นาน (< 24 ชั่วโมง) แล้วอาการดีขึ้นได้เอง สาเหตุของ TIA เกิดจากสมองมีเลือดไปเลี้ยงไม่พอเป็นระยะเวลาชั่วคราว ส่วนใหญ่จะมีอาการ 5-15 นาที แล้วอาการดีขึ้นเอง

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยควรทำการพบแพทย์ทันทีเพื่อทำการตรวจแยกระหว่างโรคหลอดเลือดสมอง และภาวะสมองขาดเลือดชั่วขณะ

สัญญาณเตือน!! เส้นเลือดสมองตีบเฉียบพลัน รู้เร็ว รักษาทัน ลดเสี่ยงอัมพาต

ปัจจัยเสี่ยงที่จะเพิ่มโอกาสการเกิดโรค

ปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวเนื่องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิต

  • โรคอ้วน ทานอาหารที่มีไขมันมาก รสเค็ม
  • สูบบุหรี่หรือได้รับควันบุหรี่ต่อเนื่อง
  • ดื่มสุราในปริมาณมาก
  • ใช้สารเสพติด

โรคประจำตัวและความผิดปกติของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง

  • ภาวะความดันโลหิตสูง
  • ไขมันคลอเรสเตอรอลสูง
  • เบาหวาน
  • ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
  • โรคหัวใจ เช่น ภาวะะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิด atrial fibrillation, ภาวะหัวใจล้มเหลว โรคลิ้นหัวใจติดเชื้อ (infective endocarditis)
  • โรคหลอดเลือดแดงที่คอตีบ (severe carotid or vertebral stenosis)
  • ภาวะเลือดแดงหรือเกล็ดเลือดผิดปกติ (Polycythemia vera or Essential thrombocytosis)
  • ภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ (Thrombophilia)
  • โรคหลอดเลือดผิดปกติแต่กำเนิด เช่น โรค Moyamoya, Cerebral autosomal dominant and subcortical leukoencephalopathy (CADASIL)
  • มีการเซาะตัวของผนังหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง (carotid or vertebral artery dissection)

ปัจจัยอื่น ๆที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรค

  • อายุ ผู้สูงวัยอายุ 55 หรือมากกว่า มีโอกาสเสี่ยงสูงกว่าในการเกิดโรค มากกว่าคนหนุ่มสาว
  • เชื้อชาติ  กลุ่มคนชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันมีความเสี่ยงสูงกว่าในการเป็นโรคหลอดเลือดสมองมากกว่าเชื้อชาติอื่น ๆ
  • เพศ  เพศชายมีความเสี่ยงสูงมากกว่าเพศหญิงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง แต่เพศหญิงมักจะเป็นโรคหลอดเลือดสมองเมื่ออายุมากขึ้น และพบว่ามีอัตราการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองกับเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
  • คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดสมอง
  • การใช้ฮอร์โมน การใช้ยาคุมกำเนิดหรือการใช้ฮอร์โมนบำบัด ที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเอสโตรเจน จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง

นพ.ชาญพงค์ กล่าวต่อถึงอาการและความรุนแรงของโรคหลอดเลือดสมองว่าสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ขึ้นอยู่กับระยะเวลา ตำแหน่งที่เกิดการตีบตันในสมองและขนาดของหลอดเลือด

  • กลุ่มแรก

เป็นกลุ่มที่มีอาการน้อย คนไข้จะพูดไม่ชัด มุมปากตก แขนขาไม่มีแรงแต่พอเดินได้ มักไม่มีอาการปวดศีรษะร่วมด้วย

  • กลุ่มที่ 2

อาการปานกลาง คนไข้จะมีอาการเปลี่ยนแปลงเร็ว เช่น อ่อนแรงมากจนขยับไม่ได้หรือพูดไม่ได้เลย ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนเพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ การฟื้นตัวในกลุ่มนี้จะเริ่มเห็นชัดประมาณสัปดาห์ที่ 3 และมักไม่กลับมาเป็นปกติ

  • กลุ่มสุดท้าย 

กลุ่มอาการหนัก มักไม่รู้สึกตั้งแต่ต้นหรืออาการซึมลงเร็วมากภายใน 24 ชม. ส่วนใหญ่เกิดในผู้ป่วยที่หลอดเลือดสมองตีบตันขนาดใหญ่ในผู้สูงอายุ มักมีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรือเคยเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตมาก่อน และมักจะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย 

หลักประเมินผู้ป่วยโรคเส้นเลือดสมองตีบ-หลอดเลือดสมอง

นพ.ชาญพงค์ ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงขั้นตอนในการประเมินผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตามหลัก BEFAST โดยเน้นให้จดจำอาการเตือน 5 อย่าง คือ

  1. เดินเซ เวียนศีรษะ บ้านหมุนฉับพลัน (Balance)
  2. ตามัว มองไม่เห็น เห็นภาพซ้อนฉับพลัน (Eyes)
  3. หน้าเบี้ยวหรือปากเบี้ยว (Face)
  4. แขนขาอ่อนแรง (Arm)
  5. พูดไม่ชัด พูดอ้อแอ้หรือพูดไม่ออก (Speech)

โดยอาการทั้งหมดทั้งปากเบี้ยว แขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัดจะเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ดังนั้นจึงต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที (Time)

เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์

ผู้ป่วยควรพบแพทย์ทันที หากพบอาการคล้ายคลึงกับโรคหลอดเลือดสมอง ถึงแม้ว่าอาการเหล่านั้นจะเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ และหายไป ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามแนวทางของ 'FAST' ดังต่อไปนี้

  • F (Face) ใบหน้า - ให้ผู้ป่วยพยายามยิ้ม แล้วสังเกตว่ามีอาการปากเบี้ยวหรือไม่?
  • A (Arm) แขน - ให้ผู้ป่วยพยายามยกแขนขึ้นทั้งสองข้าง เหนีอศรีษะ แล้วสังเกตว่าแขนข้างใดข้างหนึ่งตกไม่มีแรง ต่างจากอีกข้างหนึ่งชัดเจน?
  • S (Speech) คำพูด - ถามคำถามง่าย ๆ ที่ผู้ป่วยน่าจะตอบได้ ฟังเสียงผู้ป่วยและความหมายในการ แล้วลองสังเกตว่าเสียงผู้ป่วยพูดไม่ชัดหรือไม่?
  •  T (Time) ระยะเวลา - หากเกิดอาการเหล่านี้ ควรพบแพทย์ทันที

โทรศัพท์หาสถานพยาบาลที่มีศักยภาพในการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองในพื้นที่ของผู้ป่วยทันที อย่ารอจนกว่าอาการจะดีขึ้น เพราะยิ่งผู้ป่วยได้รับการรักษาเร็วเท่าใด ยิ่งลดความเสี่ยงของภาวะสมองขาดเลือดและลดความรุนแรงของทุพพลภาพได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น

สัญญาณเตือน!! เส้นเลือดสมองตีบเฉียบพลัน รู้เร็ว รักษาทัน ลดเสี่ยงอัมพาต

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้

โรคหลอดเลือดสมองสามารถส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนแก่ผู้ป่วย ซึ่งอาจจะเป็นภาวะที่เกิดขึ้นชั่วคราว หรือส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดความพิการถาวร ความรุนแรงของภาวะแทรกซ้อนจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่สมองขาดเลือด และขึ้นอยู่กับบริเวณสมองที่ได้รับผลกระทบ

  •  อัมพาต

ผู้ป่วยอาจจะเกิดอัมพาตส่วนใดส่วนหนึ่งบนร่างกาย หรือไม่สามารถขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้า อาการอาจจะเกิดขึ้นบริเวณด้านใดด้านหนึ่งของใบหน้าหรือแขน

  •  ปัญหาการพูดหรือการกลืน

ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคหลอดเลือดสมองคือผู้ป่วยจะมีปัญหาในการพูด การกลืน หรือการรับประทานอาหาร นอกจากนี้ผู้ป่วยจะพบปัญหาด้านภาษาอย่างเช่นการพูดคุย การพยายามทำความเข้าใจคำพูดของคนอื่น การอ่านและการเขียนหนังสือ

  • สูญเสียความทรงจำ หรือปัญหาเกี่ยวกับสมอง

โดยทั่วไปผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองจะเกิดอาการสูญเสียความทรงจำ ผู้ป่วยบางคนอาจจะพบปัญหาเกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์ การตัดสินใจ หรือการเข้าใจสิ่งต่าง ๆ

  • อารมณ์แปรปรวน

ผู้ป่วยจะพบปัญหาในการบริหารอารมณ์ และมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะซึมเศร้า

  •  เจ็บปวดหรือชาบริเวณร่างกาย

ผู้ป่วยจะรู้สึกปวด หรือชาบนร่างกาย โดยเฉพาะส่วนที่ได้รับผลกระทบจากโรคหลอดเลือดสมอง ยกตัวอย่างเช่นหากโรคส่งผลให้ผู้ป่วยสูญเสียความรู้สึกในแขนด้านซ้าย ผู้ป่วนจะเริ่มรู้สึกเจ็บแปล๊บแขนด้านดังกล่าว

  • พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงและเกิดการทอดทิ้งตัวเอง (Self-neglect)

โรคอาจจะส่งผลให้ผู้ป่วยเริ่มมีการปลีกแยกจากสังคม และจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือในการดูแลตัวเองและทำกิจวัตรประจำวัน

 

การวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมอง

หลังจากที่ผู้ป่วยถึงโรงพยาบาล แพทย์จะทำการตรวจผู้ป่วยด้วย CT scan หรือ MRI และแพทย์จะวินิจฉัยแยกโรคที่มีอาการใกล้เคียงอย่างเช่น เนื้องอกในสมอง ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงผิดปกติ อื่น ๆ ด้วยวิธีการ

  • การตรวจร่างกาย
  • การตรวจเลือด
  • การตรวจ CT scan
  • การตรวจ MRI
  • การตรวจหลอดเลือดแดงที่คอด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Carotid doppler ultrasound)
  •  การฉีดสีเข้าหลอดเลือดสมอง (Cerebral angiogram)

สัญญาณเตือน!! เส้นเลือดสมองตีบเฉียบพลัน รู้เร็ว รักษาทัน ลดเสี่ยงอัมพาต

วิธีการรักษาเมื่อเกิดโรค

ในระยะแรกที่เกิดอาการเส้นเลือดสมองตีบ แพทย์จะทำการประเมินผู้ป่วย หากมีข้อบ่งชี้ของการรักษาด้วยยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulant) และไม่มีข้อห้าม แพทย์จะให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด และตรวจหลอดเลือดสมองด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CTA brain) ในกรณีที่มีหลอดเลือดสมองขนาดใหญ่อุดตัน แพทย์จะรักษาโดยการใช้สายสวนเข้าไปในหลอดเลือดแดงที่ขาหนีบและขึ้นไปที่สมอง (endovascular procedure) เพื่อนำเอาลิ่มเลือดที่อุดตันในหลอดเลือดออกมา (Mechanical thrombectomy)

1.การใช้ยาเพื่อการรักษา

แพทย์จะทำการสั่งยาเหล่านี้ เพื่อช่วยลดโอกาสการกำเริบของโรคหลอดเลือดสมอง

  • ยาต้านเกล็ดเลือด (antiplatelet)
  • ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulant)
  • ยาลดไขมัน (statin)
  • ยาลดความดันโลหิต
  • ยารักษาโรคเบาหวาน

2.แนวทางการรักษารูปแบบอื่น ๆ

ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะหลอดเลือดที่คอตีบรุนแรง (severe carotid stenosis) และมีอาการของสมองขาดเลือด แพทย์จะรักษาโดยการทำผ่าตัดหลอดเลือดเพื่อนำเอาส่วนของไขมันที่หลอดเลือดออกมา (carotid endarterectomy) หรือการใส่ขยายหลอดเลือดที่ตีบและใส่ขดลวด (carotid angioplasty and stenting)

 

การรักษาหลอดเลือดสมองแตก

หากมีอาการภาวะหลอดเลือดสมองแตก มีการพิจารณาการรักษา ดังนี้

  • การรักษาผู้ป่วยฉุกเฉิน
  • การผ่าตัดสมอง
  • ในกรณีที่เกิดจากหลอดเลือดโป่งพอง พิจารณาการรักษาด้วยการสวนหลอเลือดและใส่ขดลวด (coiling)
  • โรคหลอดเลือดสมองผิดปกติ (cerebral arteriovenous malformation) พิจารณาการรักษาด้วยการสวนหลอดเลือดและใช่สารอุดหลอดเลือดที่ผิดปกติ (transarterial/venous embolization) หรือ radiosurgery

สัญญาณเตือน!! เส้นเลือดสมองตีบเฉียบพลัน รู้เร็ว รักษาทัน ลดเสี่ยงอัมพาต

ป้องกัน ดูแลสุขภาพอย่างไร? ไม่ให้เกิดโรค

การป้องกันโรคเส้นเลือดสมองตีบ หรือหลอดเลือดสมอง ควรป้องกันก่อนการเกิดโรคและควรควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการ ตีบ อุดตัน หรือแตก โดยมีแนวทางการป้องกันโรค ดังนี้

  • ปรับระดับความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีคลอเรสเตอรอลและไขมันอิ่มตัวสูง
  • เลิกสูบบุหรี่
  • ควบคุมอาการของโรคเบาหวาน
  • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • รับประทานผลไม้และผักให้มากยิ่งขึ้น
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • ลดการดื่มสุรา
  • เข้ารับการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
  • หลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติด
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม หากเริ่มสงสัยว่าตัวเองเริ่มมีอาการของโรคเส้นเลือดในสมองตีบ ควรรีบไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพื่อการรักษาที่รวดเร็วและลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตเฉียบพลัน

 

อ้างอิง:โรงพยาบาลกรุงเทพ ,โรงพยาบาลพญาไท ,โรงพยาบาลเมดพาร์ค