เมื่อโลกเปลี่ยนเร็ว ผู้นำต้องกล้าเปลี่ยนแปลง โดย อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา

ในโลกยุคนี้ การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป มันเข้ามาใกล้ถึงโต๊ะทำงาน แทรกอยู่ในทุกการตัดสินใจ และบางครั้งก็เกิดขึ้นเร็วจนแทบตั้งตัวไม่ทัน
จากวิกฤติโลกสู่การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค จากการเติบโตของเทคโนโลยีสู่การเปลี่ยนผ่านของคนรุ่นใหม่ในองค์กร—สิ่งเหล่านี้คือแรงกดดันที่ผู้นำต้องเผชิญในทุกวัน
ในวันที่ทุกอย่างดูคลุมเครือและไม่แน่นอน สิ่งที่องค์กรต้องการจากผู้นำ ไม่ใช่แค่คนที่ “รักษาสถานการณ์ให้สงบ” แต่คือคนที่ กล้าท้าทายสถานการณ์เดิมๆ เพื่อพาองค์กรไปข้างหน้า
นี่คือจุดเริ่มต้นของ IMPACT Leadership Model ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยให้ผู้นำไทยยุคใหม่เข้าใจและพัฒนาบทบาทของตัวเองในการขับเคลื่อนองค์กรในวันที่โลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และหนึ่งในบทบาทที่ทรงพลังที่สุดในโมเดลนี้ก็คือ The Challenger (ตัว C ใน IMPACT โมเดล) —ผู้นำที่กล้าพูดในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้า และกล้าทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่อยาก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
IMPACT: คุณสมบัติสำคัญสำหรับผู้บริหารไทย โดย อภิวุฒิ พิมลแสงสุริยา
The Challenger ไม่ได้หมายถึงผู้นำที่ “เถียงเก่ง” หรือคอยขัดขวางทุกไอเดีย แต่เป็นผู้นำที่กล้าเผชิญหน้ากับความจริง แม้มันจะไม่สวยงาม กล้าพูดในสิ่งที่ไม่เป็นที่นิยม แม้มันจะทำให้ใครบางคนไม่พอใจ และกล้าลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงในเวลาที่คนส่วนใหญ่ยังเลือกจะเงียบ
คุณสมบัติหลักที่หล่อหลอมผู้นำแบบ The Challenger คือ “Being Bold” หรือ “ความกล้าในการเผชิญหน้าและตัดสินใจ”
คนที่มีความกล้าแบบนี้ จะไม่หลีกเลี่ยงประเด็นที่ยาก ไม่ผลักความรับผิดชอบไปให้คนอื่น และไม่ปล่อยให้ปัญหาสะสมจนระเบิด
ลองนึกภาพตามดู—ถ้าองค์กรกำลังเผชิญกับวิกฤติ แต่ผู้นำกลับเลือกจะนิ่งเฉย ไม่กล้าพูด ไม่กล้าตัดสินใจ ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง แล้วใครจะพาองค์กรผ่านพายุไปได้?
องค์กรที่มีผู้นำขาดความกล้า มักเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ เช่น โอกาสในการสร้างนวัตกรรมหลุดมือ วัฒนธรรมองค์กรเป็นแบบนิ่งเฉยไม่เคลื่อนไหว, การตัดสินใจล่าช้า, ทีมงานขาดความมั่นใจ, ปัญหาเล็กๆ กลายเป็นวิกฤติที่ใหญ่โต และที่สำคัญที่สุดคือความได้เปรียบทางการแข่งขันค่อยๆ พังลงโดยไม่มีใครลุกขึ้นมาแสดงความรับผิดชอบสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากความล้มเหลวในการวางแผน แต่เกิดจากการไม่กล้าทำในสิ่งที่ควรทำ
ความกล้าของผู้นำ ไม่ใช่สิ่งที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่เป็นสิ่งที่พัฒนาให้มีขึ้นได้ เหมือนกล้ามเนื้อที่ต้องฝึกบ่อยๆ จึงจะแข็งแรง ผู้นำในทุกระดับสามารถเริ่มได้จากจุดที่ตนเองยืนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารระดับสูง หัวหน้าทีม หรือแม้แต่พนักงานระดับปฏิบัติการ
สิ่งสำคัญคือ ต้องเริ่มจากการท้าทายตัวเองก่อน
ลองถามตัวเองว่า มีปัญหาอะไรที่เรารู้ว่าควรพูด แต่ยังไม่กล้าพูด, มีการตัดสินใจอะไรที่ควรทำ แต่ยังรอให้หัวหน้าสั่งก่อน หรือมีความเปลี่ยนแปลงอะไรที่เห็นว่าจำเป็น แต่ยังไม่กล้าเป็นคนเริ่ม
ถ้าตอบว่า “มี” แปลว่าคุณมีโอกาสในการพัฒนาความกล้า (Being Bold) ของคุณแล้ว
หนึ่งในตัวอย่างผู้นำที่สะท้อนความเป็น The Challenger ได้ชัดที่สุดในโลกยุคนี้คือ Elon Musk เขาคือคนที่กล้าเปลี่ยนทิศทางอุตสาหกรรมหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ ไฟฟ้า หรือแม้แต่การเดินทางสู่อวกาศ
Elon ไม่กลัวที่จะทำสิ่งที่คนอื่นบอกว่า “เป็นไปไม่ได้” เขาไม่ลังเลที่จะยกเครื่องบริษัทใหม่ แม้จะต้องแลกด้วยความเสี่ยงสูง และเขาไม่ลังเลที่จะตัดสินใจในเรื่องยาก แม้จะถูกวิจารณ์อย่างหนักในที่สาธารณะ
ความกล้าของเขาทำให้ทีมงานกล้าเดินตาม และทำให้โลกหันมามอง
แม้คุณจะไม่ใช่ Elon Musk แต่ก็สามารถเป็นผู้นำที่กล้าได้ในแบบของตนเองได้
การพัฒนาความกล้า ต้องเกิดจากประสบการณ์ตรงหรือที่เรียกว่า Experiential Learning มากกว่าแค่การอ่านหนังสือหรือฟังพอดแคสต์ หากคุณอยู่ในระดับผู้บริหาร อาจเริ่มจากการเป็นผู้นำในโครงการใหญ่ที่ต้องเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมหรือวิธีการทำงาน หรือจัดเวิร์กชอปที่ให้ผู้บริหารได้พูดคุยกันในประเด็นที่ไม่มีใครกล้าพูด
หากคุณเป็นหัวหน้าทีมหรือผู้จัดการ ลองเริ่มจากการพูดตรงๆ กับทีมในเรื่องที่อาจมีความเห็นไม่ตรงกัน หรือกล้าตัดสินใจในจุดที่เคยลังเล
หากคุณเป็นพนักงานทั่วไป ลองเสนอไอเดียใหม่ในที่ประชุม แม้จะไม่ใช่สิ่งที่คนส่วนใหญ่เห็นด้วย หรืออาจอาสารับผิดชอบในโครงการที่คนอื่นมองว่ายาก อย่ารอให้เป็นผู้บริหารเสียก่อนจึงค่อยกล้า เพราะผู้นำที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่ง...แค่ต้องมีจุดยืน
ไม่ว่าคุณจะอยู่ในตำแหน่งไหน ความกล้าเป็นทักษะที่ขาดไม่ได้ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง เพราะมันช่วยให้การตัดสินใจไม่ล่าช้า, ทีมกล้าเผชิญหน้ากับปัญหา, วัฒนธรรมการทำงานจะเป็นแบบพื้นที่ปลอดภัยในการแสดงความคิดเห็น, ผู้คนจะมองผู้นำเป็นแบบอย่างของความเข้มแข็ง และองค์กรสามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้า แม้ในวันที่ไม่มีความชัดเจน เป็นต้น
สรุป ความกล้าไม่ใช่การไม่กลัว แต่คือการลงมือทำแม้จะยังกลัวอยู่ ความกล้าไม่ได้แปลว่าต้องตะโกนเสียงดัง ต้องยืนยันว่าเราถูก หรือทำตัวขวางโลก แต่มันคือการยืนหยัดและลงมือทำ ในสิ่งที่ถูกต้อง แม้มันจะยากก็ตาม







