โลกการทำงานยุคนี้ เป็นตัวเองมากไปในที่ทำงาน ระวังไม่ก้าวหน้า!

วัยทำงานรุ่นนี้ให้ค่าความจริงใจมากกว่าภาพลักษณ์ กูรูจิตวิทยาเตือน เป็นตัวเองมากเกินไปอาจขัดขวางการเป็นผู้นำ หัวใจของความสำเร็จคือ รู้ว่าเมื่อไรควรปรับหาผู้อื่น
KEY
POINTS
- “การเป็นตัวของตัวเอง” อาจใช้ไม่ได้ผลในโลกการทำงานยุคใหม่ โดยเฉพาะกับตำแหน่งผู้นำ เพราะการแสดงความจริงใจมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือ
- ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าผู้นำที่มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่คนที่จริงใจที่สุด แต่คือคนที่รู้จักปรับตัวและบริหารจัดการภาพลักษณ์ของตนเองให้เหมาะสมกับสถานการณ์และทีม
- การรู้จักคัดกรองและควบคุมการแสดงตัวตนให้ถูกที่ถูกเวลา ถือเป็นวุฒิภาวะที่สำคัญของผู้นำ ซึ่งจะช่วยสร้างความไว้วางใจและสร้างความเชื่อมั่นให้คนในทีมได้มากขึ้น
คำแนะนำยอดฮิตอย่าง “แค่เป็นตัวของตัวเอง” (Just be yourself) อาจใช้ไม่ได้ในโลกการทำงานยุคนี้เสมอไป โดยเฉพาะกับตำแหน่ง “ผู้นำ” ระดับสูง หรือหัวหน้าทีม บางครั้งการแสดงความจริงใจที่มากเกินไป อาจย้อนกลับมาทำลายภาพลักษณ์ของตัวเองในที่ทำงานได้
นั่นคือสิ่งที่ โทมัส ชามอร์โร–พรีมูซิค (Tomas Chamorro-Premuzic) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาธุรกิจจาก University College London และอาจารย์พิเศษจาก Columbia University ถ่ายทอดข้อคิดเห็นเกี่ยวกับกรวางตัวในที่ทำงาน ไว้ในหนังสือ Don’t Be Yourself: Why Authenticity Is Overrated (and What to Do Instead) เล่มใหม่ของเขา
“ความจริงใจ” ไม่ได้แปลว่าคุณดูมีความสามารถ หรือทำงานเก่ง
ชามอร์โร–พรีมูซิค เขียนในหนังสือดังกล่าวไว้ว่า “การรู้สึกว่าตัวเองจริงใจ ไม่ได้แปลว่าคนอื่นจะมองว่าเรามีความสามารถหรือเป็นผู้นำที่ดี” เขามองว่าแม้ความจริงใจจะช่วยเพิ่มความมั่นใจและความภูมิใจในตัวเอง แต่ในบางกรณี มันกลับขัดขวางความสามารถในการเป็นผู้นำ เพราะผู้นำต้องรู้ว่าเมื่อใดควรหยุดการแสดงคุณค่าของตนเอง และเมื่อใดควรละทิ้งตัวตนเพื่อสนับสนุนทีมแทน
เขาเขียนบทความที่คล้ายกันนี้ใน Harvard Business Review เพื่อตอกย้ำด้วยว่า “การเป็นตัวเองไม่ได้ทำให้เราเป็นเพื่อนร่วมงานหรือผู้นำที่ดีขึ้นเสมอไป”
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นโยบายคำสั่งให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศ (Return to Office: RTO) ไม่เพียงสร้างข้อถกเถียงเรื่อง “สมดุลชีวิตกับการทำงาน” ในสังคมวัยทำงานเท่านั้น แต่ยังขยายไปสู่คำถามใหญ่กว่า ว่า เราควรผสมชีวิตส่วนตัวเข้ากับงานแค่ไหน หรือควรแยกให้ขาดกัน
โดยเฉพาะในหมู่คนทำงานรุ่นใหม่ Gen Z ที่มักถูกวิจารณ์ว่า “ขาดทักษะทางสังคม” และมักถูกมองว่า “จริงใจเกินไป” ในการแสดงตัวตน เช่น ไม่สนใจการแต่งกายแบบด้วยชุดทำงานแบบดั้งเดิม หรือมีพฤติกรรม “Gen Z stare” (การจ้องหน้าคนอื่นด้วยสีหน้าเรียบเฉยในที่ทำงาน) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นตัวของตัวเองที่มากเกินไป และดูไม่เป็นมืออาชีพ
ในทำนองเดียวกัน ซูซี เวลช์ (Suzy Welch) นักข่าวและอาจารย์จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ก็ออกมาให้ความเห็นต่อประเด็นนี้ด้วย ในปี 2024 และถึงขั้นตั้งคำถาม ว่า “เด็กจบใหม่กำลังกลายเป็นกลุ่มที่ไม่เหมาะกับการจ้างงานหรือไม่” เพราะพฤติกรรมในที่ทำงานของพวกเขาไม่สอดคล้องกับความคาดหวังของนายจ้าง
ผู้เชี่ยวชาญหลายวงการ ชี้ “ตัวตนความจริงใจ” ไม่ใช่ข้อดีเสมอไป
ไม่เพียงเท่านั้น บรรดาผู้บริหารระดับสูงหลายคนออกมาพูดตรงกันว่า ในการทำงานในระดับองค์กรที่ต้องการความเป็นมืออาชีพสูง คนทำงาน “อย่าเอาตัวตนทั้งหมดมาไว้ในที่ทำงาน” ยกตัวอย่างเช่น มาร์ก แอนดรีสเซน (Marc Andreessen) นักลงทุนพันล้าน เขาเคยทวีตเมื่อปีที่แล้วว่า “เก็บตัวตนแท้จริงทั้งหมดของคุณไว้ที่บ้าน แล้วทำตัวให้เป็นมืออาชีพในที่ทำงานและในที่สาธารณะ”
เช่นเดียวกับ เอวี พูมพูรัส (Evy Poumpouras) อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยลับของสหรัฐฯ ที่มองว่าการนำ “ตัวตนจริง” เข้ามาในออฟฟิศอาจขัดขวางการทำงานเป็นทีม
ขณะเดียวกัน นักคิดและนักเขียนอย่าง แพเมลา พอล (Pamela Paul) คอลัมนิสต์จาก The New York Times ก็เคยตั้งข้อสังเกตว่า วัฒนธรรม “เอาทั้งตัวตนมาที่ทำงาน (Bring your whole self to work)” อาจสร้างแรงกดดันให้พนักงานเปิดเผยชีวิตส่วนตัวมากเกินไป ในขณะที่จุดประสงค์ของการทำงานจริงๆ อาจเป็นเพียง “การทำเพื่อเลี้ยงชีพ”
นักเขียนอีกคน โจดี-แอนน์ บิวรี (Jodi-Ann Burey) ในหนังสือ Authentic: The Myth of Bringing Your Full Self to Work (2025) ถึงกับเรียกแนวคิดเรื่อง “ความจริงใจในที่ทำงาน” ว่าเป็น “มายาคติ” เพราะระบบในที่ทำงานส่วนใหญ่ยังมีอคติต่อกลุ่มคนบางเชื้อชาติหรือเพศ ที่เบี่ยงเบนจากบรรทัดฐาน
“อย่าเป็นตัวเองตลอดเวลา” แต่จงรู้ว่า “เมื่อไหร่ควรเป็นบทบาทไหน”
ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา ชามอร์โร–พรีมูซิค มองต่างออกไปเล็กน้อย เขาไม่ได้แนะนำให้ผู้นำ แยกชีวิตส่วนตัวออกจากงานโดยสิ้นเชิง แต่ชี้ว่า ผู้นำที่มีประสิทธิภาพ ต้องรู้จักปรับตัวให้เหมาะกับสถานการณ์และผู้คนที่เขาหรือเธอทำงานด้วย
เขายกตัวอย่างงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเรดดิง (University of Reading) ซึ่งวิเคราะห์งานวิจัยกว่า 55 ชิ้น พบว่า ผู้นำที่สามารถ “จัดการภาพลักษณ์ของตัวเอง” ให้เหมาะกับบริบท จะมีประสิทธิภาพสูงกว่า ไม่ว่าจะในการบริหารงานหรือสร้างความสัมพันธ์ในทีม
“แม้การรู้สึกว่าเป็นตัวเองจะให้ความสุข แต่คุณจะเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม หากรู้จักปรับพฤติกรรมให้ตรงกับสิ่งที่สถานการณ์ต้องการ” ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา ย้ำ
เขาอธิบายต่อว่า สิ่งสำคัญในการทำงานในออฟฟิศแต่ละวัน ไม่ใช่แค่การแสดงความจริงใจ แต่คือการรู้ว่าขอบเขตของ ‘สิทธิ์ที่จะเป็นตัวเอง’ อยู่ตรงไหน และเมื่อไหร่ที่ต้องเปลี่ยนมา ‘รับผิดชอบต่อผู้อื่น’ แทน
ความจริงใจมากเกินไป = ดาบสองคม แต่การปรับตัวเก่งทำให้น่าเชื่อถือมากกว่า
แม้งานวิจัยจะหนุนแนวคิดที่ว่า ผู้นำที่รู้จักปรับตัวเก่ง จะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าคนที่ไม่ปรับตัว แต่ชามอร์โร–พรีมูซิคก็ยอมรับว่า การละทิ้ง “ความเป็นตัวเอง” เพื่อปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่นนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เขายกตัวอย่างว่า บางคนอาจมองว่าการพูดตลกร้าย คือการแสดงตัวตนว่าตนเองเป็นคนตลก สนุกสนาน ให้เพื่อนร่วมงานเห็น แต่สำหรับคนอื่น นั่นอาจกลายเป็น “พฤติกรรมไม่เหมาะสม” หรือแม้แต่การที่คุณเปิดเผยชีวิตส่วนตัวมากเกินไป นั่นก็อาจทำให้ทีมรู้สึกว่าคุณขาดความเป็นผู้นำ ได้เช่นกัน
“แค่คุณรู้สึกอยากพูด ไม่ได้แปลว่าคุณควรพูด การตระหนักรู้แบบนี้ต้องอาศัยวุฒิภาวะทางจิตใจ ซึ่งเป็นหัวใจของความเป็นผู้นำที่แท้จริง” เขากล่าว และบอกอีกว่า ทุกวันนี้ ผู้นำส่วนใหญ่กำลังทำสิ่งนี้โดยไม่รู้ตัวอยู่แล้ว ผ่านสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เช่น การเลือกโพสต์บนโซเชียล การส่งอีเมล หรือการพูดในที่ประชุม
และที่น่าสนใจก็คือ การ “คัดกรองตัวเอง” เหล่านี้ กลับช่วยให้เราดูน่าเชื่อถือและมีความสามารถมากขึ้นในสายตาคนอื่น ดังนั้น พูดง่ายๆ ว่า การเป็นตัวเองในที่ทำงานไม่ผิด แต่หากผู้นำรู้จักควบคุมหรือกลั่นกรองความเป็นตัวเอง (ว่าเวลาไหนควรแสดงตัวตนออกมา เวลาไหนควรเก็บไว้ก่อน) อาจทำให้ได้รับความไว้วางใจมากกว่า การแสดงออกทุกอย่างจนหมดเปลือกเสียอีก
ท้ายที่สุด แม้คำว่า “Be yourself” ฟังดูง่ายและจริงใจ แต่ในโลกของการทำงานที่เต็มไปด้วยความหลากหลายและความคาดหวังซับซ้อน การเป็น “ตัวเองเกินไป” อาจทำให้คุณปิดโอกาสในการเติบโตโดยไม่รู้ตัว
อ้างอิง: Fortune, yale.edu, hbr.org, sage journals, NYtimes







