สพฐ. พาน้องกลับมาเรียนได้เกิน 99% พร้อมป้องกันเด็กหลุดจากระบบการศึกษาซ้ำ

สพฐ. พาน้องกลับมาเรียนได้เกิน 99% พร้อมป้องกันเด็กหลุดจากระบบการศึกษาซ้ำ

'เลขาธิการ กพฐ.'เผย สพฐ. พาน้องกลับมาเรียนได้เกิน 99% โดยใช้ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน แจง 11 ต้นเหตุที่ทำให้เด็กไม่มาเรียน พร้อมเตรียมวางแนวทางป้องกันเด็กหลุดจากระบบการศึกษาซ้ำ

'โครงการพาน้องกลับมาเรียน' ของกระทรวงศึกษาธิการ เป็นโครงการที่รัฐบาลให้ความสำคัญในการส่งเสริมโอกาส ความเสมอภาค และความเท่าเทียมทางการศึกษา เพื่อแก้ปัญหาเชิงรุกเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา คืนโอกาส สร้างอนาคตให้เด็กได้กลับสู่ระบบ

ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.)กล่าวว่าที่ผ่านมา มีเด็กหลุดออกนอกระบบการศึกษา ด้วยหลายสาเหตุหลายปัจจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด 19 ที่ทำให้มีเด็กต้องหลุดออกจากระบบการศึกษาเป็นจำนวนมาก

โดยในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีหน้าที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ต้องดูแลอย่างทั่วถึงเท่าเทียมทุกกลุ่มทุกช่วงวัย ก็ได้ติดตามนักเรียนกลับมา โดยใช้ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ต้องทำเป็นปกติของครูและสถานศึกษา ที่จะติดตาม เยี่ยมบ้านถ้าเด็กขาดเรียน หรือ ไม่มาโรงเรียนเกิน 3 – 7 วัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

‘เครือข่ายนวัตกรรมการศึกษาทางเลือก’ แก้วิกฤตเด็กหลุดนอกระบบรับเปิดเทอม

เปิดเทอมใหม่..เด็กไทยยังไปไม่ถึงโรงเรียนอีก 1.7 หมื่นคน

เปิดสายด่วน ศูนย์ช่วยเหลือเด็กในพื้นที่กทม. ป้องกันหลุดนอกระบบการศึกษา

 

11 สาเหตุเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษา 

ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2565-2566 สพฐ.ได้ทำการวิจัยเรื่องเด็กหลุดจากระบบการศึกษาด้วยรูปแบบ Design Research in Education โดยพบ 11 สาเหตุที่ทำให้เด็กหลุดจากระบบการศึกษา ได้แก่

  1. ความจำเป็นของครอบครัว 
  2. การย้ายถิ่นที่อยู่
  3. รายได้ไม่เพียงพอ
  4. ปัญหาสุขภาพหรือความพิการ
  5. ปัญหาความประพฤติหรือการปรับตัว
  6. ผลกระทบจากโควิด 19
  7. การเสี่ยงต่อการกระทำผิด
  8. การคมนาคมไม่สะดวก
  9. การสมรส 
  10. ผลการเรียน
  11. ผู้ปกครองไม่ใส่ใจ

สพฐ. พาน้องกลับมาเรียนได้เกิน 99% พร้อมป้องกันเด็กหลุดจากระบบการศึกษาซ้ำ

โดยตัวเลขเด็กหลุดออกจากระบบที่พบในปีการศึกษา 2564 หรือ ปีงบประมาณ 2565 มีจำนวน 28,134 คน สามารถติดตามพบตัว 28,038 คน โดยได้นำกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาและให้ความช่วยเหลือตามความต้องการจำเป็นรายบุคคล โดยมีทั้งที่กลับเข้าเรียนในสถานศึกษาของ สพฐ. ทั้งโรงเรียนเดิม โรงเรียนใหม่ สถานศึกษาอาชีวศึกษา

รวมถึงการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย หรือ  กศน. และโรงเรียนพระปริยัติธรรม ขณะเดียวกันมีเด็กที่ติดตามไม่พบตัว 22 คน และเสียชีวิต 74 คน 

 

สพฐ.พาเด็กไทยกลับมาเรียนได้ 99.66%

ส่วนปีการศึกษา 2565 หรือ ปีงบประมาณ 2566 มีจำนวน 2,835 คน ซึ่งเป็นตัวเลขการออกกลางคันที่ลดลง และได้ติดตามกลับเข้ามาเรียนแล้ว และบางส่วนก็เป็นเด็กที่ข้ามมาเรียนจากประเทศเพื่อนบ้าน ไม่กลับเข้ามาเรียนต่อ

ดร.อัมพร กล่าวต่อว่า จากการดำเนินการดังกล่าวต้องถือว่าประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ เพราะสามารถนำเด็กกลับเข้าระบบและให้ความช่วยเหลือตามความต้องการของเด็กถึง 99.66% โดยสิ่งที่น่ากังวล คือ จะทำอย่างไรจึงจะรักษาเด็กกลุ่มนี้ไว้ไม่ให้หลุดออกจากระบบซ้ำอีก

ขณะเดียวกันก็มีปัญหาใหม่อีกว่า เด็กที่เรียนอยู่ก็มีแนวโน้ม หรือ มีความเสี่ยงจะหลุดออกจากระบบเป็นกลุ่มใหม่อีก ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากสำหรับ สพฐ. ทำให้ สพฐ.ต้องหาวิธีป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ

"สพฐ.ได้มีนโยบายต่อเนื่องโดยทำโรงเรียนให้เป็นโรงเรียนแห่งความสุข ประกาศนโยบายโรงเรียนปลอดภัย และประกาศให้เดือนมิถุนายน เป็นเดือนแห่งการเยี่ยมบ้านนักเรียน โดยให้โรงเรียนทุกโรง ร่วมกับ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ลงเยี่ยมบ้านนักเรียนเป็นรายบุคคล เพื่อให้ทราบถึงความเป็นอยู่และความต้องการจำเป็นที่ต้องการได้รับความช่วยเหลือ ซึ่งจะเป็นการป้องกันไม่ให้เด็กหลุดจากระบบการศึกษาได้อย่างยั่งยืน"ดร.อัมพร กล่าว

พร้อมกับย้ำว่า สพฐ.ต้องการเห็นเด็กทุกคนได้รับโอกาส จึงมีนโยบายเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างโอกาสให้แก่เด็กไทยทุกคนเข้าถึงการศึกษาอย่างมีคุณภาพและเท่าเทียม