จุดเริ่มต้นของจุดเปลี่ยนในตลาดหุ้นไทย

จุดเริ่มต้นของจุดเปลี่ยนในตลาดหุ้นไทย

ตลาดหุ้นซึ่งเป็นดัชนีชี้นำมีโอกาสฟื้นตัวก่อนเศรษฐกิจจริง โดยได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและนโยบายดอกเบี้ยขาลงที่ชัดเจนขึ้น

KEY

POINTS

  • ประเมินจุดเริ่มต้นการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยได้เริ่มขึ้นแล้ว แม้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจและการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนจะยังคงอ่อนแอ
  • ปัจจัยสำคัญที่จะเป็นจุดเปลี่ยนไม่ใช่พื้นฐานทางเศรษฐกิจ แต่คือ "ความเชื่อมั่นของนักลงทุน" ซึ่งได้รับอิทธิพลจากสถานการณ์การเมืองเป็นหลัก
  • จุดเปลี่ยนที่สำคัญของตลาดหุ้นไทยขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเมืองในประเทศ โดยเฉพาะผลการตัดสินคดีสำคัญในช่วงเดือน ส.ค. - ก.ย. 2025 ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่
  • ตลาดหุ้นซึ่งเป็นดัชนีชี้นำมีโอกาสฟื้นตัวก่อนเศรษฐกิจจริง โดยได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและนโยบายดอกเบี้ยขาลงที่ชัดเจนขึ้น
  • แม้จะเชื่อว่าผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว แต่เส้นทางการฟื้นตัวคาดว่าจะไม่เรียบง่ายและใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 ปี โดยแนะนำให้ลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่จ่ายปันผลสูง

นับตั้งแต่ต้นปี 2025 จนถึงปัจจุบันตลาดหุ้นไทยยังเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นโซนเอเชียที่มีผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปีต่ำที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียอิงผลตอบแทนของดัชนี SET Index เช่นเดียวกับประเทศในกลุ่ม TIP ได้แก่ อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ในขณะที่ตลาดหุ้นในประเทศโซนเอเชียอื่นกลับมีผลตอบแทนที่สูงติดอันดับ Top 10 ของโลก (ขอกล่าวถึงเฉพาะประเทศที่อยู่ในความสนใจของนักลงทุนไทย) ได้แก่ เกาหลีใต้, จีน, ไต้หวัน และเวียดนาม เป็นต้น อย่างไรก็ตามในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวขึ้นอย่างโดดเด่นดัชนี SET Index ปรับตัวขึ้นกว่า +12.86% อ้างอิงราคาปิดของดัชนี ณ วันที่ 8 ส.ค. 2025 คำถามสำคัญที่นักลงทุนสนใจได้แก่ 1. ตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวไปต่อได้ไกลแค่ไหน 2. เราผ่านจุดต่ำสุดกันมาแล้วหรือยัง? ดังนั้นสำหรับบทความในวันนี้เรานำเอาประเด็นที่มองว่ามีความสำคัญและอาจเป็นปัจจัยที่จะกำหนดทิศทางของตลาดหุ้นไทยนับจากนี้ไปมาวิเคราะห์

ก่อนที่จะพูดถึงข้อสรุปและตอบคำถามข้างต้นเราจะเริ่มจากการตั้งข้อสังเกตุและวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อตลาดหุ้น เบื้องต้นเราอยากให้ผู้อ่านแยกประเด็นระหว่างเศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นไทยออกจากกันถึงแม้ว่าทั้ง 2 สิ่งนี้มีความสัมพันธ์ต่อกันค่อนข้างมากและตลาดหุ้นก็เป็นหนึ่งในดัชนีสะท้อนสภาวะเศรษฐกิจไทยปัจจุบันที่มีแนวโน้มเติบโตต่ำ อ้างอิงการศึกษาของ IMF ในเดือน ก.ค. 2025 (ล่าสุด) ประเมินการเติบโตของ GDP ไทยปี 2025-2026 ที่ระดับ 2.0% และ 1.7% ตามลำดับ ซึ่งมีการปรับเพิ่มขึ้นจากการประเมินครั้งก่อนที่ระดับ 1.8% และ 1.6% ตามลำดับ อย่างไรก็ตามแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ระดับดังกล่าวทั้งก่อนและหลังการปรับคาดการณ์นับว่าต่ำกว่าศักยภาพของเศรษฐกิจไทยในอดีต การเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มต่ำส่งผลโดยตรงต่อผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยในทางลบ (เพราะรายได้อิงกิจกรรมในประเทศเป็นหลัก) อ้างอิงข้อมูลของ Bloomberg Consensus EPS Growth ของ SET Index เฉลี่ยหรือ CAGR 5 ปี (นับจากปี 2023-2027E) นักวิเคราะห์คาดเติบโตเฉลี่ย 4.33% เทียบกับการเติบโตของกำไรดัชนี MSCI Asia Pacific x Japan ในช่วงเวลาเดียวกันที่มีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยถึง 13.97% 

หากพิจารณาจากแนวโน้มเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยซึ่งดูไม่ดีแล้วแบบนี้ “จุดเริ่มต้นของจุดเปลี่ยนในตลาดหุ้นไทย” ตามชื่อของหัวข้อบทความจะเกิดขึ้นตอนไหน? จากมุมมองส่วนตัวของผมประเมินว่าจุดเริ่มต้นการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยได้เริ่มขึ้นแล้ว..อย่างไรก็ตามเส้นทางการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยในระยะถัดไปไม่เรียบง่ายและใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1-2 ปี ดังนั้นนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นไทยต้องเป็นคนที่มีความอดทนมากพอและพร้อมที่จะถือหุ้นไทยตามกรอบเวลาดังกล่าว (หลังแบ่งสัดส่วนการลงทุนในตลาดอื่นๆ ไว้แล้ว) ส่วนประเด็นสำคัญที่จะขอลงรายละเอียดในวันนี้จะกล่าวถึงเรื่องของ “ความเชื่อมั่นของนักลงทุน” สำหรับความเชื่อมั่นของนักลงทุนอาจเป็นปัจจัยที่จับต้องได้ยาก ไม่มีหลักการที่ตายตัวแต่ก็พอมีจุดที่เราสามารถสังเกตุเชิงสถิติได้ เช่น ยอดซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบันผ่านตลาดหุ้นไทยและตลาดตราสารหนี้ไทย ปริมาณการซื้อขายผ่านตลาดอนุพันธ์ (ปริมาณสัญญาคงค้างที่สะสมอยู่) ความถี่ของการออกบทวิเคราะห์หุ้นไทยรายตัวจากสำนักวิจัยและบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศ เป็นต้น

ขอขยายความต่อในประเด็นเกี่ยวกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยถอดบทเรียนจากตลาดหุ้นต่างประเทศในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันโดยจะยกตัวอย่างตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เริ่มจากตลาดหุ้นจีนอิงดัชนี CSI 300 Index และ HSI Index ในช่วงเวลาของการปรับฐานนับจากปี 2021-2023 การปรับฐานของดัชนีตลาดหุ้นทำให้ค่า P/E Ratio ของตลาดหุ้นปรับตัวลดลงมาตามดัชนีแต่ก็ยังไม่เกิดจุดกลับตัวที่ชัดเจน กล่าวคือความถูกของตลาดหุ้นจีน ณ เวลานั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่ทำให้นักลงทุนให้ความสนใจ (เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา) จนกระทั้งเกิดจุดเปลี่ยนในช่วงเดือน เม.ย. 2024 หลังนักลงทุนเริ่มมีคาดหวังต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนในขณะที่รายงาน GDP 1Q24 ของจีนอยู่ที่ 5.4% ดีกว่าที่ตลาดคาดทำให้นักลงทุนเริ่มมองเศรษฐกิจมีโอกาสฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดและในเดือน ก.ย. 2024 ตลาดหุ้นจีนฟื้นตัวแรงจากความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ (Bazooka Policy) และมาตรการสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ต่อด้วยการเติบโตของกลุ่มเทคโนโลยีจีนพร้อมกับการลดกฎเกณฑ์ (Deregulation) ตลอดจนการสนับสนุนกลุ่มเทคโนโลยีของรัฐบาล ปัจจัยบวกที่กล่าวมาข้างต้นหนุนความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นถึงแม้ว่าในภาพใหญ่ของเศรษฐกิจจีนยังคงเผชิญกับปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์และสงครามการค้ากับสหรัฐฯ

อีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าศึกษาคือตลาดหุ้นเกาหลีใต้ซึ่งเคยอยู่ในภาวะ Korea Discount จากระดับราคาของหุ้น (อิง P/BV) โดยเฉลี่ยของบริษัทจดทะเบียนที่ต่ำ (ปัจจุบันกำลังแก้ปัญหาด้วยการปรับโครงสร้างตลาดหรือ Market Reform) และเคยมีปัญหาด้านความมั่นคงของการเมืองภายในประเทศจากการถอดถอนประธานาธิบดียุน ซอกยอลจนกระทั่งมีการเลือกตั้งใหม่ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายค้านและหากนับจากต้นเดือน มิ.ย. 2025 ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นและยังอยู่บนแนวโน้มขาขึ้น จากสองกรณีศึกษาข้างต้นเมื่อมองกลับมาที่ตลาดหุ้นไทยสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนที่สำคัญโดยเฉพาะการเมืองในประเทศ เพราะในช่วงเดือน ส.ค. - ก.ย. 2025 จะมีการตัดสินคดีทางเมืองที่สำคัญคือ 1. นายกแพทองธาร ชินวัตร จากกรณีคลิปเสียงบทสนทนากับนายฮุน เซน 2. อดีตนายกทิกษิณ ชินวัตร คดีมาตรา 112 ที่ทักษิณถูกฟ้องข้อหาหมิ่นสถาบันฯ จากการให้สัมภาษณ์แก่สื่อเกาหลีใต้ (รวมถึงคดีชั้น 14) กรณีการเมืองไทยผลของการตัดสินคดีอาจสร้างความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญนำไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่หรือความเปลี่ยนแปลงขั้วการเมืองในส่วนของพรรคการเมืองที่เป็นผู้นำของคณะรัฐบาล

ข้อสรุปของบทความนี้และคำตอบของคำถามที่ว่าตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวไปต่อได้ไกลแค่ไหนและเราผ่านจุดต่ำสุดกันมาแล้วหรือยัง? เบื้องต้นหากอ้างอิงเป้าหมายของดัชนี SET Index ในอีก 12 เดือนข้างหน้าในมุมมองของนักวิเคราะห์โดยเฉลี่ยอิง Bloomberg Consensus ณ วันที่ 13 ส.ค. 2025 อยู่ที่ 1,359 จุด ในมุมมองของผมก็สอดคล้องกับเป้าหมายดังกล่าวโดยประเมินกรอบเป้าหมายในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้าของดัชนี SET Index อยู่ที่ 1,300-1,350 จุด บนสมมุติฐานที่นักลงทุนคาดว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในขณะที่นโยบายดอกเบี้ยไทยอยู่ในขาลงอย่างชัดเจน (หลังการเปลี่ยนผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย) ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวได้ช้าแต่ตลาดหุ้นไทยซึ่งเป็น Leading Indicator มีโอกาสฟื้นตัวก่อนดังนั้นที่ระดับราคาปัจจุบันการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังคงมีความน่าสนใจแต่เราแนะนำให้ซื้อและถืออยากน้อย 1-2 ปี โดยเน้นลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มที่จ่ายปันผลสูงซึ่งมีความทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจ